11 พฤติกรรมที่คนใช้ iPhone ไม่ควรทำ!





 

บทความนี้เป็นการรวบรวมพฤติกรรมที่ควร ลด-ละ-เลิกทำ หากคุณรัก iPhone ของคุณ และไม่อยากให้มันเจ๊งไวกว่าที่มันควรจะเป็น!!!

เพราะ iPhone เครื่องนึงราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ ดังนั้น หากคุณได้จับจองเป็นเจ้าของแล้ว ก็คงต้องใช้งานอย่างทะนุถนอมหน่อย

มาดู 11 พฤติกรรมต่อไปนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของ iPhone ไม่ควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันจะทำให้ตัวเครื่องเสียหายและเจ๊งก่อนเวลาอันควร

 

(1) ไม่เคยปิดเครื่องเลย

คำแนะนำที่ดี คือ คุณควรจะปิดเครื่องของคุณอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะไม่อย่างนั้น แบตเตอรี่ของคุณอาจจะเสื่อมไวกว่าปกติก็ได้

ผู้เชี่ยวชาญเคยกล่าวไว้ว่า การเปิดเครื่องไว้ แต่ปิดหน้าจอและไม่ได้ใช้งานอะไรก็มีผลกับแบตเตอรี่เช่นกัน

แต่ก็แล้วแต่กรณีนะครับ เพราะ การทำงานของบางท่าน อาจจะต้องใช้งานโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ การปิดมือถือ อาจทำให้เสียโอกาสบางอย่างไป (แต่ถ้าปิดเครื่องตอนนอน โดยทำสัปดาห์ละครั้งก็คงไม่เป็นไร จริงมั้ย?)

 

(2) เปิด WiFi และ Bluetooth ไว้ตลอดเวลา

แน่นอนว่า การเปิด WiFi หรือ Bluetooth ทิ้งไว้ โดยที่ไม่ได้ใช้งานอะไร ถือเป็นการสิ้นเปลืองแบตโดยใช่เหตุ

ถ้าเกิดว่า ณ เวลานั้น คุณไม่จำเป็นจะต้องใช้งาน WiFi หรือ Bluetooth ก็ปิดมันซะ

เปิดใช้งานเฉพาะเวลาที่จะต้องใช้เท่านั้นดีกว่าครับ

 

(3) หยิบเครื่องขึ้นมาใช้งานในวันที่อากาศ หนาว/ร้อน จัดๆ

iPhone ไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศ หรืออุณหภูมิที่ร้อนหรือหนาวจัดได้

ดังนั้น การหยิบ iPhone ออกมาใช้งานในวันที่อุณภูมิ

  • ต่ำกว่า 32 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 0 องศาเซลเซียส
  • สูงกว่า 95 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 35 องศาเซลเซียส

เป็นอะไรที่ไม่ควรเท่าไหร่ครับ ไม่แนะนำให้ทำอย่างแรง เพราะอากาศที่สุดโต่งขนาดนั้น อาจจะสูบแบตฯของเครื่อง หรือทำให้เครื่องร้อนจัดจนทำให้ iPhone ของคุณปิดตัวอย่างอัตโนมัติแบบชั่วคราวก็เป็นได้

ถ้าเกิดคุณรู้ว่าจะต้องไปเผชิญอากาศที่ร้อนหรือเย็นจัดภายนอก พยายามเก็บ iPhone ของคุณไว้ในกระเป๋า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพึ่งใช้มันเถอะ

 

(4) เสียบชาร์จไว้ทั้งคืน

การเสียบชาร์จ iPhone เอาไว้ตอนนอนนั้น เป็นอะไรที่สะดวกดี แต่ไม่ได้เป็นไอเดียที่ดีเลย

เรื่องการเสียบชาร์จเป็นประเด็นที่ถกเถียงมานานแล้ว แต่มีหลายสื่อระบุว่า การเสียบชาร์จ iPhone ไว้ตลอดเวลา แม้ว่ามันจะชาร์จไฟเต็มแล้วก็ตาม จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวขึ้น

ข้อมูลจาก Gizmodo ที่เขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วระบุเอาไว้ว่า แบตเตอรี่จะอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เมื่อคุณดึงมันออกก่อนที่มันจะถึง 100% ซึ่งการถอดปลั๊กก่อนที่มันจะชาร์จเต็มนั้น จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมช้าลง

แต่ก็มีบ่างแหล่งข่าวอ้างอิงไว้ว่า Apple ได้กล่าวไว้ว่า ใน iOS ตัวใหม่ๆจะสามารถตัดไฟจากการชาร์จเมื่อแบตเต็ม 100% แล้วได้เลย

ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเป็นไปได้ พยายามชาร์จ iPhone ในช่วงระหว่างวัน เพื่อที่คุณจะได้มีโอกาสถอดปลั๊กเมื่อมันชาร์จเต็มแล้ว หรือลงทุนซื้อที่ชาร์จที่มันจะหยุดชาร์จเมื่อแบตฯเต็มแล้ว (ลองดูรายละเอียดได้จาก ที่นี่ เลยครับ)

 

(5) ชาร์จแบตฯไว้เต็มตลอดเวลา หรือ ปล่อยให้แบตฯหมดเกลี้ยง

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนนั้น จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อระดับของแบตฯอยู่ที่ 50% – 80% โดยข้อมูลนี้กล่าวเอาไว้โดย Shane Broesky ผู้ก่อตั้ง Farbe Teccnik ซึ่งผลิตอุปกรณ์การชาร์จต่างๆ

ในทางกลับกัน การที่ปล่อยให้แบตฯหมดเป็นเวลานานๆนั้น จะทำให้แบตฯตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “Deep Discharge State” ซึ่งเป็นผลให้ตัวเก็บประจุไฟในแบตฯไม่ทำงาน และไม่สามารถเก็บประจุไฟได้ ซึ่งข้อมูลนี้ เป็นข้อมูลที่ได้มาจาก Apple เอง

ดังนั้น การเสียบชาร์จ iPhone ในระยะเวลาสั้นๆ จะช่วยให้ประจุไฟในแบตนั้นทำงาน มีกำลังไฟเพียงพอต่อการใช้งาน และที่สำคัญ มันยังช่วยยืดอายุแบตฯของคุณได้ด้วย

 

(6) ใช้ที่ชาร์จปลอม

พูดกันตามตรงว่า ที่ชาร์จของแท้ของ Apple นั้นราคาค่อนข้างสูงทีเดียว แต่ทาง Apple ก็ยืนยันว่า มันคุ้มที่จะลงทุน!

มีข่าวมาแล้วหลายครั้งว่า การใช้ที่ชาร์จที่ไม่ใช่ของ Apple หรือการซื้อที่ชาร์จปลอมนั้น เสี่ยงอันตรายพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ระเบิด หรือ ไฟไหม้เนื่องจากไฟลัดวงจรได้

Apple เองก็มีโครงการ USB Power Adapter Takeback Program เพื่อเอาไว้ให้ผู้ใช้แลกที่ชาร์จปลอม และเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Apple ก็ออกส่วนลดให้สำหรับผู้ใช้ที่ซื้อเครื่องชาร์จของ Apple มาซื้อที่ชาร์จของแท้

 

(7) ไม่เคยทำความสะอาดเครื่องเลย

เมื่อ iPhone สกปรก ก็อาจเป็นที่สะสมของเชื้อโรคได้

Apple แนะนำให้ใช้ผ้าไร้ฝุ่น (lint-free cloth) ในการทำความสะอาดตัวเครื่อง (มีสินค้าบางตัวที่อ้างว่า สามารถใช้แสง UV ในการฆ่าเชื้อให้เครื่อง iPhone ได้)

ที่สำคัญ คือ อย่าลืมที่จะทำความสะอาดพอร์ทที่ชาร์จไฟ เพราะ พวกเศษฝุ่น เศษผ้า จากกระเป๋ากางเกง กระเป๋าถือ อาจจะติดอยู่ในช่องนี้ก็เป็นได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของปัญหาในการเชื่อมต่อ หรือ ปัญหาการชาร์จไฟเมื่อเสียบสายชาร์จเข้ากับพอร์ทชาร์จไฟ

แนะนำให้ใช้ไม้จิ้มฟัน หรือ เข็มเล็กๆเขี่ยๆพวกเศษผ้า เศษฝุ่นที่ไปติดในนั้นออกมา

 

​(8) ถือ iPhone โดยขาดความระมัดระวัง (เสี่ยงต่อการโดนขโมย)

แน่นอนว่า iPhone เป็นอะไรที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดยเฉพาะในพวกตลาดมืด และเป็นเป้าหมายของบรรดาขโมยทั้งหลายเลยก็ว่าได้

สถิติข้อมูลที่เคยเก็บได้ของปี 2013 ระบุว่า คดีการปล้นในเมืองใหญ่ๆนั้นเป็นการปล้นอุปกรณ์มือถือถึง 40% เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นอัตราส่วนที่สูงมาก

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องอันตรายที่จะถือ iPhone ลอยไปลอยมา ล่อแหลมต่อการถูกวิ่งราว (เพราะบางคนใส่กระเป๋าถือ กระเป๋ากางเกง ยังโดนล้วงกระเป๋าและขโมยไปได้เลย)

 

(9) ไม่ตั้งรหัสผ่าน

สถิติระบุว่า ผู้ใช้งาน iPhone กว่าครึ่งหนึ่ง ไม่ได้ตั้งรหัสผ่าน หรือ Passcode เอาไว้

Apple รายงานไว้ในปี 2013 ว่า ถ้าหากผู้ใช้ iPhone ไม่ใส่ Passcode และถูกขโมยไปล่ะก็ ข้อมูลต่างๆจะถูกขโมยไปได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้น การใส่ Passcode จึงเป็นวิธีช่วยขั้นต้นไม่ให้พวกขโมยเข้าไปถึงข้อมูลสำคัญในตัวเครื่องได้ง่ายๆ

 

(10) เปิดแชร์ Location Service ทุกแอพฯ และตลอดเวลา

แอพฯอย่างเช่น Maps หรือว่า Uber จำเป็นต้องใช้งาน Location Services เพื่อให้แอพฯทำงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งแอพฯพวกนี้จะบอกเองว่าให้ผู้ใช้งานเปิดใช้ Location Services ตอนไหน

และก็มีหลายแอพฯที่ทำงานได้ปกติแม้ว่าจะปิด Location Services แล้วก็ตาม

การเปิด/ปิด Location Services สามารถทำได้ดังนี้

  • ไปที่ Settings >>> Privacy >>> Location Services เพื่อเปิด / ปิด Location Services

เมื่อปิด Location Services ก็สามารถประหยัดแบตเตอรี่ได้พอสมควร

 

(11) เปิด Push Notifications ทุกแอพฯ

Push Notifications นั้นจะทำให้ผู้ใช้ iPhone ไม่พลาดการแจ้งเตือนจากแอพฯต่างๆได้ แต่มันจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตด้วย ซึ่งสูบแบตเตอรี่มากพอตัว

งานวิจัยระบุว่า การแจ้งเตือนของ Push Notifications ของมือถือนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำลายสมาธิเลยก็ว่าได้

ถ้าจะปิด หรือ เลือกเปิดการแจ้งเตือนเฉพาะแอพฯ สามารถเข้าไปได้ที่

  • เข้าไปที่ Settings >>> Notifications >>> จากนั้นก็เลือกแอพฯที่ต้องการเปิด หรือ ปิดได้

 

ลองทำตามดูทั้ง 11 ข้อนะครับ เพื่อถนอม iPhone ให้อยู่กับคุณได้นานๆหน่อย 

 

 

[ads=center]
ข้อมูลจาก แบไต๋
เรียบเรียง ThaiJobsGov

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: