ผู้ประกอบการชี้ดึงกัญชากลับเป็นยาเสพติด ด้วยเหตุผลทางการเมือง เสียหายกว่า 20,000 ล้านบาท





กาญจนบุรี – ปธ.บริหารนิคมกัญชาทางการแพทย์แห่งประเทศไทย เผยรัฐบาลนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เป็นเหตุผลทางการเมือง กลับไปกลับมา แล้วแต่ยุคใครยุคมัน เอาไปฟาดฟันกันในสภาฯ ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบอุตสาหกรรมกัญชาในไทยกว่า 20,000 ล้านบาท

นายวิศารท์ พจน์ประสาท ประธานบริหารนิคมอุตสาหกรรมกัญชาทางการแพทย์แห่งประเทศไทย และประธานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนนิคมสมุนไพรสัมพันธ์ตะวันตก ผู้ได้รับใบอนุญาตปลูกกัญชารายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เผยว่า จากกรณีมติกัญชากัญชงคืนเป็นยาเสพติด ในมุมมองของตน คิดว่าการเปลี่ยนแปลงมติครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ 100% จากนโยบายเรื่องกัญชาของรัฐบาลก่อนกับรัฐบาลนี้โดยสิ้นเชิง จากการนำกัญชาออกจากการไม่เป็นยาเสพติดและให้เป็นยาเสพติด

ดังนั้น เมื่อเกิดเช่นนี้แล้ว ย่อมเกิดผลกระทบต่อบุคคลหลายกลุ่มด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการที่ลงทุนเป็นระบบอุตสาหกรรมอย่างเช่นเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนนิคมสมุนไพรสัมพันธ์ตะวันตก กาญจนบุรี ผู้ได้รับใบอนุญาตปลูกกัญชารายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในสมาคมกัญชาของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมื่อมติเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมจึงมิใช่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นตามสังคม ซึ่งส่วนนั้นเราจะมีทางแก้ไข โดยการมีกฎหมายนำมาบังคับ จะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นได้

แต่ในระบบอุตสาหกรรมการเป็นยาเสพติดหรือไม่เป็นยาเสพติดมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย ทั้งด้านการขายในประเทศต่างประเทศ การสกัดสารสำคัญ การปรุงยารักษาโรคตำรับกัญชา กระบวนการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก การเป็นพืชเศรษฐกิจที่โดดเด่นในสายพันธุ์กัญชาไทย ดังนั้นผลกระทบจะต้องเกิดขึ้นต่อทุกกลุ่มอย่างมากมาย จนอาจจะมีบางกลุ่มที่รับได้ กับรับไม่ได้ต่อกรณีเช่นนี้

ดังนั้น การที่นำกัญชาไปสู่การเป็นยาเสพติด เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือไม่ ทุกคนทุกฝ่ายต้องทบทวนกับการที่มีกฎหมายมาบังคับในส่วนที่เป็นข้อเสียที่เกิดขึ้น จากการไม่ได้เป็นยาเสพติด อันนั้นจะดีกว่าหรือไม่ เพื่อทำให้กัญชาในระบบอุตสาหกรรมมีทางที่จะเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งที่บรรยากาศของเรื่องกัญชาต่อสากลมีแนวทางที่จะไปในทางที่มีความก้าวหน้าไปมากกว่าที่จะเป็นยาเสพติด เช่น มติของ WHO เมื่อต้นปี 2563 ออกมาต่างกันเพียงเล็กน้อย 27 : 25 คะแนนเสียง และการประชุมครั้งต่อไปมันมีโอกาสที่จะพลิกกลับเป็นปลดล็อกของยาเสพติด

ถ้าหากแนวโน้มของ WHO เขาเปลี่ยนจากการเป็นยาเสพติดหรือไม่เป็นยาเสพติดจะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสมากมาย ในการแก้ไขต่อไปจะต้องคำนึงถึงการควบคุมกัญชาโดยกฎหมายเพื่อเปิดโอกาสให้กัญชาทางการแพทย์ได้มีทางเดินที่มีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะระบุว่า เมล็ด ต้น ราก ใบ ไม่ได้เป็นยาเสพติด แต่ช่อดอกเป็นยาเสพติด เรื่องนี้จะทำให้ต้องหาทางที่จะทำให้ช่อดอก หรือว่าสาร THC ที่เกินกว่า 0.2% อยู่ในลักษณะที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

นายวิศารท์ กล่าวอีกว่า ส่วนความเสียหายต่อระบบอุตสาหกรรมกัญชาในไทย คาดว่ามีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท เฉพาะในส่วนโรงปลูกกัญชาที่จะเสียหาย ไม่รวมร้านขายกัญชาทั่วประเทศที่ไม่สามารถดำเนินการได้เลยอีกกว่า 20,000 ล้านบาท จากร้านค้าทั่วประเทศ เป็นการล้างบางกัญชาไทยด้วยเหตุผลทางการเมืองเท่านั้น และทำให้เกิดความเสียหายต่อทุกมิติของการดำเนินการไปแล้วตลอดเวลา 4 ปี ของอุตสาหกรรมกัญชาไทย

ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา การดำเนินการของสภาฯ ในปี 62 ถึงปี 63 ปลายปี สภาตั้งคณะกรรมมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้ กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย กรรมาธิการ ตั้ง อนุฯ 1 กัญชา เพื่อไทย 2.กัญชง พลังประชารัฐ 3.กระท่อม ประชาธิปัตย์ และ 1 คณะทำงาน เพื่อสรุปเนื้อหา โดยพรรคภูมิใจไทยมีนายแพทย์มารุต มัสยาวาณิชย์ เป็นประธานการศึกษาเรื่องของกัญชากับทางรัฐบาลที่แล้ว กับสภาชุดที่แล้วได้ทำการศึกษาพร้อมกันแล้วในระหว่างการศึกษาตั้งแต่ปี 2562

รัฐบาลซึ่งหมายถึงกระทรวงสาธารณะสุขและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้ทำการปลดล็อกกัญชาจากการเป็นยาเสพติด พร้อมทั้งออกกฎกระทรวงของกระทรวงสาธารณสุขมาเพื่อเป็นการควบคุมกัญชา ในระหว่างนี้สภาได้ทำการศึกษาจนกระทั่งได้บทสรุป ซึ่งแนวทางจะสอดคล้องกันกับแนวทางของรัฐบาล แต่สภาได้ผ่านขั้นตอนของการศึกษาเท่านั้น ยังไม่ได้ออกกฎหมายมารองรับ ซึ่งกฎหมายที่ออกมารองรับนั้น พรรคภูมิใจไทยได้นำเสนอเป็นญัตติหลักเข้ามาแล้วปรากฏว่าการพิจารณาของสภาในวาระที่ 3 ไม่ผ่านสภาทันเวลากับการปลดล็อกกัญชาของรัฐบาล ทำให้ขาดการควบคุมในสิ่งที่อาจจะเป็นข้อเสียของกัญชา เพราะว่ากัญชามีทั้งข้อดีและข้อเสีย

โดยเฉพาะข้อดีทางการแพทย์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้ ข้อเสียอาจจะมีผู้นำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมหรือว่าในลักษณะที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ขาดการควบคุมไปโดยปริยาย จึงทำให้สถานการณ์ของกัญชา สังคมมองเห็นว่ามีข้อเสียหรือผลเสียต่อเยาวชน ต่อองค์กรที่ไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยวหรือสัมผัสกัญชา ซึ่งจริงๆ แล้วในข้อเสียต่างๆ นั้นจะต้องมีกฎหมายมาควบคุมหรือมากำหนด ซึ่งมีอยู่แล้วอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ว่ากฎหมายฉบับนั้นไม่ผ่านสภา จึงทำให้ขาดการควบคุมอย่างเหมาะสม ดังนั้นกัญชาไม่น่าจะใช่สิ่งที่เลวร้าย จนกระทั่งรับไม่ได้ เพียงแต่จะต้องกำหนดมาตรการควบคุมในสิ่งที่เป็นข้อเสียให้เกิดความเหมาะสมกับองค์กรหรือบุคคลต่างๆ เหล่านั้นเอง

บทสรุป ปัญหาที่แท้จริงของกัญชาที่เกิดขึ้นว่า ทำไมรัฐบาลนี้กับรัฐบาลที่แล้วถึงมีปัญหาหรือว่าเป็นนโยบายที่แตกต่างกัน คือ

1.ปัญหาที่เกิดขึ้นทางสังคม ไม่มีกฎหมายบังคับ เจ้าหน้าที่บางส่วนไม่ออกมาบังคับใช้กฎหมายเนื่องจากเกรงกลัวว่าตัวเองจะมีความผิด 2.ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเมือง ในสภาเอาไปฟาดฟันในสภา

 

ข่าวจาก : mgronline

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: