วิธีลบรอยแผลเป็นให้ได้ผล…
รอยแผลเป็นที่เป็นปัญหาจะมีลักษณะของแผลนูนแดง มีสองแบบ คือ hypertrophic และ keloid ซึ่งแตกต่างกันที่แผลแบบ hypertrophic จะ ไม่ไปกินพื้นที่ผิว รอบๆรอยแผลเหมือนกับแผล keloid โดยแผลเป็นสองชนิดนี้มีโอกาสเกิดในคนผิวคล้ำมากกว่าคนผิวขาว ในหัวข้อที่แล้วผมได้เขียนเกี่ยวกับวิธีลดการเกิดรอยแผลเป็นให้น้อยที่สุดไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงวิธีลดรอยแผลเป็นบ้างครับ
โดยทั่วไป การสมานแผลจะใช้เวลาไม่เกิน 14 วัน ซึ่งหากมีการสมานแผลหลังจากนี้ มีเพิ่มโอกาสที่จะเกิดรอยแผล และเป็น hypertrophic และ keloid ได้ การดูแลบาดแผลจึงสำคัญมาก ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็นในท้องตลาดนั้น ค่อนข้างที่จะมีหลากหลายยี่ห้อครับ
ตัวแรกที่คนไทยจำติดหู น่าจะเป็นตระกูล H….. ซึ่งตัวผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนสำคัญ คือ mucopolysaccharide ซึ่งมีคุณสมบัติเกี่ยวกับ การลดการอักเสบ การระคายเคือง และรอยแดง จะมีประโยชน์ในขั้นตอนของการสมานแผลมากกว่าการลบรอยแผลเป็น ถ้าหากนำไปใช้ทาเพื่อลบรอยแผลเป็น อาจจะไม่ได้ผลนะครับ และประโยชน์ของตัว mucopolysaccharide อีกอย่างหนึ่งคือ ใช้ในกรณีแผลฟกช้ำ และ อาการเส้นเลือดขอด ซึ่งมีผลลดการคั่งของเลือดบริเวณนั้นๆครับ
นอกจากนี้ก็มีการค้นพบสารตัวใหม่ของวงการลบรอยแผลเป็น คือ สาร allantoin, cepalin ซึ่งอยู่ในสารสกัดจากหัวหอม (alium cepa) ที่มีคุณสมบัติ ลดรอยแผลเป็น โดยการช่วยสมานแผลและลดการสร้างคอลลาเจน (การทดลองในหลอดทดลองหรือเซลล์เพาะเลี้ยงเท่านั้น ) จึงเป็นที่มาของการพัฒนาเจลหรือครีมสูตรลบรอยต่างๆออกมามากมาย ซึ่งเจลสารสกัดหัวหอมทำหน้าที่ลดการอักเสบ ลดการสร้างคอลลาเจน (ป้องกัน keloid) ช่วยสมานแผล ซึ่งผลการวิจัยของการใช้เจลชนิดนี้แบ่งออกเป็นสองแง่มุมครับ โดยผมแบ่งเป็น
-เปรียบเทียบกลุ่มที่ทาเจลลบรอยแผล กับกลุ่มที่ไม่ทาหรือเนื้อเจลเปล่าๆ >>พบว่ากลุ่มที่ทารอยแผลเป็นดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น รอยนูน สภาพรอยแผลโดยรวม
– เปรียบเทียบกลุ่มที่ทาเจลลบรอยแผล กับ petroleum jelly (พวก vaseline) >> พบว่าไม่มีผลแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และซึ่งโดยปกติแผลเป็นจะจางลงเองโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
จากงานวิจัยนั้นทำในกลุ่มคนน้อยๆ ประมาณ 20-30 คนเท่านั้น และการสมานแผลยังมีปัจจัยกวนหลายๆอย่างในส่วนตัวบุคคล โดยเฉพาะลักษณะของบาดแผลครับ ซึ่งโดยจริงๆแล้วหลักการของการลดรอยแผลเป็นนั้น คือการทำให้ผิวบริเวณรอยแผลมีความชุ่มชื้น และมีอาการอักเสบน้อยที่สุด รวมถึงหลีกเลี่ยงการสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไปซึ่งเป็นสาเหตุของแผลเป็น ดังนั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลบรอย ผมแนะนำว่า ให้เลือกตามกำลังการซื้อเลยครับ เพราะถ้ามีเงินหน่อยก็ตัวสารสกัดจากหัวหอม (allium cepa extract) ได้เลยครับ เพราะมีผลทางเภสัชวิทยา เกี่ยวกับการช่วยสมานแผลและโอกาสการเกิดแผลนูนได้ครับ ซึ่งผลดังกล่าวเห็นผลในบางคนเท่านั้นครับ แต่หากรอยแผลอยู่ในตำแหน่งที่เราไม่ซีเรียสมากๆ ทาพวก petroleum jelly ก็พอครับ โดยเน้นย้ำว่าการทาเจลพวกนี้ให้ทาหลังจากที่บาดแผลปิดแล้วนะครับ ห้ามทาตอนแผลเปิดเด็ดขาด ซึ่งก็ประมาณสองสัปดาห์หลังจากเกิดบาดแผลครับ
[ads]
ถัดมาผมอยากแนะนำวิธีการป้องกันรอยแผล อีกวิธีให้รู้จักคือ silicone gel ซึ่งถือว่าเป็น first line สำหรับการรักษาแผลเป็น โดยในท้องตลาดมีสองชนิดคือ แบบทา และแบบแผ่นแปะ ในการวิจัยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบการใช้ silicone gel แบบทา กับพวกเจลหรือครีมลบรอยแผลเป็น ให้ผลการรักษาความชุ่มชื้นต่อผิวได้พอๆกัน ซึ่งจากหลักการดูแลรอยแผลเป็น คือ ทำให้ผิวคงความชุ่มชื้นให้มากที่สุด จึงสามารถทา silicone gel กับพวกเจลหรือครีมลบรอย แทนกันได้ แต่ตัวที่แนะนำมากที่สุดอีกวิธี คือ การใช้แบบแผ่นแปะ silicone gel จะรักษาความชุ่มชื้นต่อผิวได้ดีกว่า ทำให้สามารถลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นและรอยนูนได้ดี ซึ่งกลไกคาดว่าเกิดจากความสามารถในการรักษาความชุ่มชื้นของผิว ลดอัตราการโดนแสง ลดการติดเชื้อ และชะลอการสร้างเซลล์ผิวครับ
สรุปได้ว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ทาหรือแปะ เพื่อลดรอยแผลเป็นนั้น ประสิทธิภาพทางคลินิกพบว่า การทาดีกว่าไม่ทาแน่นอนเนื่องจากการทาเจลหรือครีมช่วยรักษาและเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ ซึ่งเป็นกลไกหลักในการรักษารอยแผลเป็น
ในปัจจุบันยังถือว่าไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือรองรับและสนับสนุนการทา
เจลหรือครีมสารสกัดหัวหอมว่าแตกต่างจาก petrolum jelly อย่างไร และทางการแพทย์จริงๆยังไม่มีการแนะนำให้ใช้เจลสารสกัดจากหัวหอมครับ แต่จากประสบการณ์ตรงของผมแนะนำว่า ให้ทาครับ ทาตัวไหนก็ได้ เอาที่ราคาสบายกระเป๋า เนื่องจากแต่ละยี่ห้อมีปริมาณสารสกัดจากหัวหอมไม่แตกต่างกันมากนัก 12-15% และถ้าบาดแผลค่อนข้างลึก การใช้แผ่นแปะ silicone gel เพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นนูน จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ ส่วนในกรณีที่เกิดเป็นแผลเป็นขึ้นมานานแล้ว จะรักษาค่อนข้างยากครับ การทาหรือแปะ จะช่วยลดได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งหากต้องการลบรอยจริงๆจำเป็นใช้วิธีฉีดสเตียรอยด์ เลเซอร์ หรือวิธีๆทางคลินิกอื่นๆครับ
คำแนะนำ เน้นย้ำอีกที สำหรับแผลเป็น
– รักษาบาดแผลให้หายเร็วที่สุดหลีกเลี่ยงเพื่อลดโอกาสการเกิดแผลเป็น
– แผลเป็นนูนจะสร้างในช่วง 4-8 สัปดาห์ ดังนั้นแนะนำว่าให้ทาติดต่อกันซักประมาณ 12 สัปดาห์ ทาวันละ 2-3 ครั้ง
-ถ้ามีงบเพียงพอผมแนะนำให้ใช้ทั้งสองอย่างคือ silicone gel และเจลสารสกัดหัวหอม ทาสลับกันได้เลย
– ถ้าอยู่ในบริเวณที่ใช้แผ่นแปะได้ แนะนำให้ใช้แผ่นแปะ silicone gel ครับ เนื่องจากลดการโดนแสง และรักษาความชื้นของผิวได้ดีกว่า
วิธีใช้ คือ แปะไว้ทั้งวัน สามารถนำมาล้างและใช้ซ้ำได้ประมาณแผ่นละ 7 วัน สามารถใช้ร่วมกันเจลหัวหอมได้ด้วยครับ
– งบน้อย แนะนำ petroleum jelly ครับ
หวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์และนำไปปรับใช้ในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลบรอยแผลเป็นกันนะครับ
ฝากไลค์เพจ เพื่อติดตามข้อมูลอัพเดทเรื่อยๆด้วยครับ https://www.facebook.com/pharmachair?fref=nf
ขอบคุณเนื้อหาจาก http://pantip.com/topic/30666208
[ads=center]
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ