วันที่ 27 ม.ค. ที่ศาลอาญารัชดา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลนัดพร้อมในคดีที่อัยการ ยื่นฟ้อง นายสัชญา หรือ “ขวัญ” สถิรพงษะสุทธิ และ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 , พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138,140,371 กรณีวันที่ 29 พ.ค.-15 ก.ค.57 ร่วมกันมีปืนเล็กกลและเครื่องกระสุน เสื้อเกราะ-หมวกกันกระสุน
ล่าสุด ศาลได้มีคำสั่งนัดพร้อมใหม่อีกครั้ง วันที่ 9 มี.ค. 2563 นี้ ในคดี “ปารีณา” ครอบครองปืนกล โดยให้เหตุผลเนื่องจาก จำเลยอีกคนไม่ได้รับหมาย เลยไม่ได้เดินทางมาศาล
คดีนี้ สืบเนื่องจากวันที่ 18 พ.ย. 2562 พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 4 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสัชญา สถิรพงษะสุทธิ หรือขวัญ อายุ 44 ปี และนางปารีณา ไกรคุปต์ อายุ 43 ปี ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ประเภทปืนกลเล็ก และกระสุนชนิดระเบิดเจาะเกราะ ซึ่งไม่ใช่ชนิดและขนาดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ โดยมีไว้ในครอบครอง อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7,8 ทวิ , 55 , 72 ,72 ทวิ , 78 พ.ร.บ.อาวุธปืน วัตถุระเบิด และสิ่งเทียมอาวุธปืนฯ พ.ศ.2522 มาตรา 6 และฉบับ พ.ศ.2530 มาตรา 3 พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 15,42 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 , 140 , 371
โดยคำฟ้องระบุถึงพฤติการณ์ สรุปว่า จำเลยเป็นพลเรือนร่วมกับพวกอีก 1 คน ที่เป็นพลเรือนซึ่งยังหลบหนี ได้ร่วมกันมีอาวุธปืน วัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะแต่การสงคราม ที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ อันเป็นความผิดที่เหตุพิเศษเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศและความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรื่องให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะแต่การสงคราม โดยระหว่างวันที่ 29 พ.ค.-15 ก.ค.57 จำเลยกับพวกที่หลบหนี ร่วมกันมีอาวุธปืนกลเล็ก พร้อมซองกระสุนปืน 1 อัน ซึ่งเป็นลูกกระสุนระเบิดยิงชนิดระเบิดเจาะเกราะ จำนวน 19 นัด อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะแต่การสงคราม ซึ่งไม่ใช่ประเภท ชนิด และขนาดที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ได้ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 11 (พ.ศ.2522) ข้อ 2,3 ออกตามความใน พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย
ขณะที่วันที่ 15 ก.ค.57 ซึ่งเป็นวัน-เวลาที่อยู่ในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร จำเลยร่วมกับพวกที่หลบหนี มีกล้องส่องเวลากลางคืนจำนวน 1 ชุด, เสื้อเกราะกันกระสุนจำนวน 1 ตัว และหมวกเกราะกันกระสุน จำนวน 1 ใบ ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากปลัดกระทรวงกลาโหม และจำเลยยังพาอาวุธปืนพกออโตเมติกขนาด .38 SUPER เครื่องหมายทะเบียน กท 4507271 จำนวน 1 กระบอก ซึ่งเป็นอาวุธปืนของจำเลยที่ได้รับอนุญาตให้มีได้โดยชอบด้วยกฎหมาย กับกระสุนปืนออโตเมติกจำนวน 31 นัด และอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์กับกระสุนปืนลูกกรดจำนวน 8 นัด ติดตัวไปในซอยสมคิด ถ.เพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน ซึ่งเป็นทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับอนุญาตให้พกพา เหตุเกิดที่แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ อันเป็นเขตที่อยู่ในอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึก ซึ่งศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.3041/2562 และกำหนดนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 27 ม.ค.63 เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงาน สำหรับกรณีดังกล่าวเป็นการโอนคดีฟ้องมาจากศาลทหารกรุงเทพ โดย นายสัชญา ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 16 ก.ค.57 ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงการประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึกหลังการยึดอำนาจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล จับกุมนายสัชญา ได้พร้อมอาวุธปืนสงครามและเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ