ลูกสาวเผยเหตุการณ์สลด แม่ติดโควิด ทำได้เพียงนั่งดูแม่เสียชีวิต รพ.เอกชน บอกเตียงเต็มไม่ตรวจโควิดให้ ชี้มีเงินก็รักษาไม่ได้ เผยขนาดอาการโคม่า รพ. ยังขอเวลาตรวจสิทธิบัตรทอง
วันที่ 12 กรกฎาคม 2564 เรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า เจ้าหน้าที่ อปพร.เขตบางบอน ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากนางขวัญใจ อายุ 68 ปี ที่มีอาการมึนศีรษะ มึนงง ลื่นล้ม จึงนำตัวส่ง รพ. เอกชนแห่งหนึ่ง โดยผลเอกซเรย์เบื้องต้นพบว่า มีฝ้าขึ้นปอดเหนื่อยหอบคาดว่าน่าจะติดเชื้อโควิด 19 แต่ไม่มีโรงพยาบาลเอกชนที่ไหนรับรักษา จนญาติต้องนำตัวกลับมารักษาเองที่บ้านในซอยเอกชัย 76 ย่านบางบอน กรุงเทพฯ ก่อนที่สุดท้ายจะเสียชีวิต
ลูกสาวของผู้เสียชีวิต เผยว่า แม่รับเชื้อมาจากพ่อที่ติดโควิด 19 เนื่องจากมีเพื่อนมาหาและนั่งคุยกันหลายชั่วโมง โดยไม่มีใครสวมหน้ากากอนามัย หลังจากนั้น เพื่อนคนนี้ก็ติดโควิด และเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา หลังจากทราบผลว่าพ่อติดเชื้อโควิด ตนรีบโทร. แจ้งให้ทางบ้านทราบ เพื่อเฝ้าระวังและสังเกตอาการของคนในครอบครัว
หลังจากนั้นช่วงเช้าของวันที่ 11 กรกฎาคม 2564 แม่เริ่มมีอาการไม่ดี มีอาการไอ เหนื่อยหอบ จึงรีบพาแม่ไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ตนแจ้งกับโรงพยาบาลว่าคุณแม่มีประวัติเป็นความดัน แต่ไม่ได้แจ้งว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เพราะกลัวโรงพยาบาลไม่รับรักษา จากนั้นโรงพยาบาลทำการเอกซเรย์ปอด พบว่าปอดของคุณแม่ขึ้นฝ้า แต่ไม่ได้ทำการตรวจหาเชื้อ
โดยทางโรงพยาบาลแจ้งว่า แม่หายใจเองไม่ได้ ต้องใส่สายออกซิเจน และให้ญาติพยายามหาโรงพยาบาลอื่น ทีแรกดูเหมือนจะมีเตียงรองรับ โรงพยาบาลถามว่ายอมเสียค่ารักษาไหม คืนละ 100,000 บาท เพราะต้องเข้าไอซียู ตนจึงปรึกษากับญาติพี่น้อง และตกลงเพื่อที่จะให้คุณแม่รักษาอยู่โรงพยาบาลนี้ วางมัดจำ 50,000 บาท จากนั้นโรงพยาบาลเดินกลับมาบอกว่า “เตียงเต็ม” ให้ไปหาโรงพยาบาลอื่นที่รับรักษา
ต่อมามีเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง แนะนำกับตนว่า ให้ตนพาแม่วอล์กอินเข้าไป แล้วแจ้งเขาว่ามีอาการเหนื่อยหอบ ไม่ต้องบอกว่ามีอาการโควิด หรือเป็นกลุ่มเสี่ยง พร้อมนำผลเอกซเรย์ปอดเป็นแผ่นซีดีมา จากนั้นตนแจ้งกลับโรงพยาบาลแห่งนี้ว่า จะพาคุณแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เดียวกับพ่อ โรงพยาบาลแห่งแรกจึงจัดหารถฉุกเฉินไปส่งให้
เมื่อไปถึงโรงบาลเอกชนแห่งที่สอง รถฉุกเฉินทำได้เพียงจอดรถอยู่หน้าโรงพยาบาล ตนได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า พ่อมาตรวจที่นี่พบติดเชื้อโควิด ซึ่งแม่ก็น่าจะรับเชื้อด้วยเพราะสัมผัสใกล้ชิดกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตอบกลับว่าเตียงเต็มแล้ว โรงพยาบาลในเครือก็ไม่มีเตียงเช่นกัน ตนจึงตัดสินใจพาคุณแม่กลับบ้านตามเดิม แยกคุณแม่ไปนอนที่ห้องพักชั้น 2 ของอพาร์ตเมนต์ที่ตนเองปล่อยเช่าที่ยังว่าง โดยห้องอยู่ด้านในสุด เพื่อป้องกันเชื้อแพร่กระจายกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว
พร้อมขอความช่วยเหลือจาก อปพร.เขตบางบอน ให้นำถังออกซิเจนมาให้ 1 ถัง ในเวลา 20.00 น. ของวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่วัดค่าออกออกซิเจนปลายนิ้วของแม่อยู่ที่ 60-75 ซึ่งขณะนั้นคุณแม่ยังมีสติพูดคุยได้ปกติ
จากนั้นช่วงเช้าของวันที่ 12 กรกฎาคม ค่าออกซิเจนปลายนิ้วเริ่มต่ำอยู่ที่ 53 และเริ่มต่ำลงเหลือ 47 ประมาณ 08.00 น. ตนโทร. ไป 1669 เจ้าหน้าที่ก็สอบถามแต่อาการ และถามเรื่องบัตรทองว่าเคยรักษาที่ไหน ตนบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า คนไข้วิกฤตไม่ไหวแล้วออกซิเจนต่ำมาก เจ้าหน้าที่กลับบอกว่าต้องตรวจสอบสิทธิ์การรักษาก่อน ไม่สามารถมารับตัวกะทันหันได้
จากนั้นประมาณ 09.00 น. เจ้าหน้าที่ 1669 โทร. กลับมาแจ้งว่าโรงพยาบาลที่คุณแม่เคยไปรักษาเตียงว่าง แต่ทางโรงพยาบาลไม่มีรถมารับ ต้องจัดหารถไปส่งเอง ซึ่งหลังจากวางสายไปอาการของคุณแม่เริ่มทรุดหนักและเสียชีวิต เนื่องจากไม่สามารถหายใจเองได้ โดยหลังจากแม่เสียชีวิต ทุกคนทำได้เพียงปล่อยร่างของแม่นอนอยู่ในห้อง เพื่อรอเจ้าหน้าที่มาชันสูตรพลิกศพ และนำร่างไปเผาที่วัดกำแพง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ รันทดใจมาก ๆ
ลูกสาวของผู้ตาย เล่าทั้งน้ำตาว่า ตอนอยู่โรงพยาบาลตนก็พยายามอ้อนวอนให้เจ้าหน้าที่ช่วย ตรวจหาเชื้อให้กับคุณแม่ เพื่อต้องการทราบผลตรวจ หากติดเชื้อจะได้ประสานหาเตียงแต่ไม่มีโรงพยาบาลไหนตรวจ จนกระทั่งคุณแม่สิ้นใจก็ยังไม่ทราบว่าติดเชื้อโควิดหรือไม่ แต่จากอาการที่เกิดขึ้นคาดว่าแม่น่าจะติดโควิด
ส่วนคนอื่น ๆ ในบ้านนั้นตอนนี้ได้รับการตรวจเชื้อแล้วผลเป็นลบ แต่ที่น่าห่วงตอนนี้คือลูกของตนวัย 3 เดือน ที่พ่อแม่กับจะช่วยเลี้ยงทุกวันจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ
ข่าวจาก : kapook
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ