20 กันยายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีเพจ survive – สายไหมต้องรอด ได้มีการโพสต์ข้อความปมตกใจปนสงสัย ซึ่งมีใจความระบุ “ห๊ะ! จนท.กระทรวง วธ.จังหวัด..ขับรถหลวงแวะซื้อยาบ้าดูด เพื่อนร่วมงานรู้เรื่อง แจ้ง หน. สุดท้ายคนแจ้งโดน หน.เล่นงานไม่ต่อสัญญา” อีกทั้งยังมีการเปิดคลิปในช่องคอมเมนต์ เผยให้การขับรถเลี้ยวเลาะไปตามถนนซอกซอยต่างๆ ก่อนจะแวะจอด และพูดคุยอะไรบางอย่างกับคนที่ยืนรออยู่ข้างทาง ซึ่งก็ใช้เวลาไม่เกิน 5 วินาที จึงขับรถออกไปต่อ ส่วนการสนทนาพูดคุยกันภายในคลิปยังมีการพูดคุยระหว่างคนขับรถและคนโดยสารในบางช่วงบางตอน ที่มีการชักชวนกันให้ไปแวะหอพักเพื่อเข้าห้องน้ำ พร้อมกับมีเสียงเอ่ยว่า ที่ชวนไปเข้าห้องน้ำหอพัก เพราะจะแวะไปดูดด้วย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวจึงได้มีการสอบถามไปยังเพจผู้โพสต์ เพื่อหาพิกัดเรื่องที่เกิดขึ้น กระทั่งทราบว่าเรื่องดังกล่าวเกิดในพื้นที่ อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ ซึ่งผู้ร้องเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ประจำสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค์ ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากผู้บังคับบัญชาสายงาน และถูกเล่นงานด้วยการเลิกจ้าง เนื่องจากเจ้าตัว นำคลิปไปร้องเรียนให้ตรวจสอบพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ในกระทรวง ใช้รถหลวงไปซื้อยาเสพติดมาเสพ จึงทำให้ผู้บังคับบัญชาสายงานไม่พอใจหนัก ถึงขั้นเล่นงานด้วยการเลิกจ้าง
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังผู้ร้องเพจ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ทราบว่า เจ้าตัวเป็นพนักงานจ้างเหมารายปี ประจำตำแหน่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี ของวัฒนธรรม จ.นครสวรรค์ ได้นำเรื่องมาเปิดเผยว่า การที่ตนไปร้องขอความเป็นธรรมกับเพจ survive – สายไหมต้องรอด เพื่อต้องการร้องขอความเป็นธรรมให้กับตน และเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนในตำแหน่งเดียวกัน ที่ต้องถูกยกเลิกสัญญาจ้างอย่างไม่ยุติธรรม แถมยังถูกบังคับให้เซ็นใบลาออก เพียงเพราะไปร้องเรียนถึงพฤติกรรมอันฉาวโฉ่ของเจ้าหน้าที่ในสังกัดรายหนึ่ง มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แถมยังใช้รถตู้หลวงเป็นยานพาหนะในการซื้อยา เพื่ออำนวยความปลอดภัยให้แก่ตัวเอง โดยมีเจ้าหน้าที่ในสังกัดอีกคน ร่วมรู้เห็นเป็นใจ ขับรถพาไปจอดแวะซื้อยามาดูด ทั้งที่ยังอยู่ในเวลาทำงาน
“เรื่องคลิปที่ผมส่งไปให้ทางเพจเผยแพร่นั้น ผมไปได้หลักฐานมาจากกล้องหน้ารถตู้ ทะเบียน 1 นก 2440 กรุงเทพมหานคร แล้วพบว่ามีการใช้รถหลวงไปจอดแวะรับยาเสพติดในพื้นที่ชุมชนใกล้กับวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง ซึ่งคลิปจากกล้องหน้ารถที่ได้ มันระบุไว้ ว่าเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา เมื่อผมและเพื่อนร่วมงานได้เห็นคลิปนี้ก็รับไม่ได้เป็นอย่างยิ่งที่มีคนในที่ทำงานเดียวกันไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด จึงได้มีการนำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งกับผู้บังคับบัญชาทราบ แต่กลายเป็นว่าในวันต่อมาผมและเพื่อนร่วมงานที่รู้เรื่องนี้ด้วยกันทั้ง 3 คน ถูกเรียกให้ไปตรวจปัสสาวะเฉย แต่กับผู้ที่ถูกร้องเรียน ไม่มีการนำตัวมาตรวจ แถมยังอ้างด้วยว่าเขาขอลางาน”
ผู้ร้องเรียนยังเล่าต่อไปด้วยว่า ตนเคยถามเหตุผลกับผู้บังคับบัญชาว่า ทำไมไม่มีการนำตัวผู้ที่ตนร้องเรียนให้มาตรวจปัสสาวะด้วย ซึ่งผู้บังคับบัญชาก็ได้ให้คำตอบว่า ได้มีการพูดคุยกับผู้ปกครองของเจ้าหน้าที่คนนั้นแล้ว ซึ่งเขาให้คำตอบว่า ยอมรับลูกน้องของเขาเคยติดยาเสพติดมาก่อน และกำลังอยู่ในช่วงของการบำบัด เพียงแค่นั้น โดยไม่มีเอกสารหลักฐานใดๆ แต่กลายเป็นว่าผู้บังคับบัญชาเกิดความสงสารเมตตา โดยบอกกับตนว่า ผู้บำบัด คือผู้ป่วย ต้องให้โอกาสอย่างหน้าตาเฉย
“ผมทำงานอยู่ที่กระทรวงนี้มานานถึง 5 ปี และเส้นทางในชีวิตหน้าที่การงานก็กำลังเจิดจรัส ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย แต่สุดท้ายปีนี้ก็ต้องกลับมามืดมนดำดิ่ง เพียงเพราะผมและกลุ่มเพื่อนไปร้องเรียนเจ้าหน้าที่ในสังกัดยุ่งเกี่ยวยาเสพติด ผมรู้สึกหดหู่ใจมาก แทนที่ท่านจะแก้ไข กลับไม่แก้ กลับมาว่ากล่าวผมและเพื่อน หาว่าพวกผมไปหาเรื่องกลั่นแกล้งผู้ร่วมงานด้วยกันอีก
และตอนนี้พวกผมรู้สึกเครียดมากเลย เพราะพวกผมถูกบีบคั้น โดนหาว่ากระด้างกระเดื่อง และโดนกลั่นแกล้งสารพัด ซึ่งพวกผมกะว่าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้แล้วนะ พยายามที่จะอยู่อย่างเงียบๆ แล้ว แต่สุดท้ายก็ถูกความอยุติธรรมเข้าทำร้าย ซึ่งทางนั้นเขาบีบให้ผมและเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนเซ็นใบลาออก พร้อมกับมีการยกเลิกสัญญาจ้าง ด้วยข้อหาไม่ปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างด้วย ทำไมมันถึงโหดร้ายเพียงนี้”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้จะดำเนินการอะไรต่อ กลุ่มผู้ร้องบอกว่า ในเมื่อไม่มีความยุติธรรม ทำดีให้กับองค์กรแบบนี้แล้วยังไม่ได้ดี พวกตนก็จะดำเนินการร้องเรียนให้ถึงที่สุด พร้อมกับบอกด้วยว่าคนที่ตนร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดมี 2 คน โดยคนหนึ่งมีตำแหน่งเป็นคนขับรถตู้ของวัฒนธรรม จ.นครสวรรค์ ที่รู้เห็นเป็นใจ พาพนักงานราชการรายปี ตำแหน่งเจ้าหน้าที่พัสดุ ซึ่งมีอายุงานเท่ากับพวกตน ไปแวะรับยาเสพติดมาเสพสุข ได้อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ผู้สื่อข่าวจึงได้ติดต่อสอบถามไปยัง นางปรีชญา พรมชู วัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงอีกด้าน เบื้องต้นทราบว่าหัวหน้าวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค์ได้ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว ต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1 เรื่องยาเสพติด โดยเห็นภาพจากกล้องด้านหน้ารถอย่างเดียวไม่ทราบได้ว่าเป็นรถของทางวัฒนธรรมหรือไม่ และการพูดคุยกันก็ไม่ชัดเจนเท่าไรว่าเรื่องอะไร
เบื้องต้นได้มอบให้เจ้าหน้าที่ได้สืบในทางลับเพื่อหาข้อมูล ถ้าเป็นจริงก็จะให้ออกเลย ในส่วนที่ 2 เรื่องเลิกจ้างนั้น น้องๆ ที่ไม่ได้ต่อสัญญาจ้าง เพราะว่าผลงานการทำงานไม่เป็นไปตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญาจ้าง จึงไม่ได้จ้างต่อ ถ้าต้องการข้อมูลละเอียดต้องรอให้กลับจากราชการในกระทรวงฯ ที่กรุงเทพฯ ก่อน.
ข่าวจาก : ไทยรัฐออนไลน์
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ