2 ธันวาคม นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ผ่าตัดแปลงเพศในกลุ่ม LGBTQ+ ว่า การผ่าตัดแปลงเพศอยู่ในสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มาตั้งแต่ปี 2561 แล้ว เพราะไม่ได้มีข้อยกเว้นเอาไว้ อย่างปีที่แล้วมีการออกประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง ประเภทและขอบเขตของบริการสาธารณสุข พ.ศ.2565 ระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า การกระทำใดๆ เพื่อความสวยงามโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ไม่ครอบคลุมหรือเบิกไม่ได้ ดังนั้น หากเป็นกรณีที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ก็ชัดเจนว่าสามารถทำและใช้สิทธิได้ แต่ที่ผ่านมาพบว่า โรงพยาบาล (รพ.) จะมีแต่การเบิกในเรื่องของการผ่าตัดแปลงเพศ กรณีเพศกำกวมแต่กำเนิด แต่ละปีจะอยู่ที่ประมาณ 100 กว่าราย ไม่เคยเบิกกรณีผ่าตัดกลุ่ม LGBTQ+ เข้ามา จะมีก็เมื่อปีที่แล้วที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ เบิกเข้ามา 1 ราย
“เรื่องการแปลงเพศของกลุ่ม LGBTQ+ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องของสิทธิประโยชน์ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีการพูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวว่าตรงไหนทำได้หรือไม่ได้อย่างไร และ รพ.ก็ไม่เคยทำและเบิกเข้ามา สปสช.ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง จึงมีการนัดภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องหารือทั้งแพคเกจเลย ตั้งแต่ส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค รักษาฟื้นฟูครบทุกกระบวนการ เพราะจะมีตั้งแต่การใช้ฮอร์โมนจนถึงแปลงเพศ ซึ่งฮอร์โมนบางตัวอาจจะไม่อยู่ในบัญชียาหลัก ก็ต้องไปดูรายละเอียด” นพ.จเด็จกล่าว
เมื่อถามว่าข้อบ่งชี้คือต้องมีการตรวจกับแพทย์หรือจิตแพทย์ ว่าบุคคลนั้นมีความจำเป็นต้องข้ามเพศจริงๆ ใช่หรือไม่ นพ.จเด็จกล่าวว่า เดิมในอดีตก็จะมองว่าเป็นความผิดปกติ (Disorder) แต่ปัจจุบันเราเข้าใจว่า ทางฝั่งผู้เรียกร้องมองว่าไม่ได้เป็นเรื่องความผิดปกติ แต่เป็นลักษณะของเพศสภาพไม่ตรงกับจิตใจและร่างกาย ดังนั้น หากแพทย์มองว่าปล่อยทิ้งไว้จะเป็นปัญหาเรื่องสุขภาพจิต เรื่องความเป็นอยู่ ก็พิจารณาทำให้ ดังนั้น ขึ้นอยู่กับแพทย์มองว่าเป็นข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ หากต้องทำก็ทำได้ ซึ่งเรามีระบบให้รองรับการเบิกอยู่แล้วตามระบบ DRG
“การผ่าตัดแปลงเพศที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ส่วนใหญ่จะมองเหมือนเสริมสวย แต่เราตีความชัดเจนขึ้น ถ้าจำเป็นในทางการแพทย์ก็จะอยู่ในสิทธิประโยชน์ จึงขึ้นกับแพทย์ที่ทำการรักษาว่าจะตัดสินใจทำหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ใช่ว่าใครจะทำอะไรก็ได้ จะคิดเอาเองไม่ได้ ตรงนี้มีความชัดเจนขึ้น เราตีความให้ไปในทิศทางที่ทำให้ทำงานต่อได้ เราค่อนข้างมั่นใจตัวระเบียบใหม่ที่ประกาศสิทธิประโยชน์ออกมาว่า กรณีมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ก็เบิกได้” นพ.จเด็จกล่าว
นพ.จเด็จกล่าวว่า แม้จะมีระบบเบิกจ่ายรองรับ แต่เราไม่รู้ว่าเงินที่ได้เพียงพอหรือไม่ เพราะการจ่ายคาดว่าคงหลักไม่ถึงแสนบาท แต่จริงๆ การผ่าตัดแปลงเพศราคาค่อนข้างสูง เพราะไม่ใช่แค่ผ่าตัดแปลงเพศเท่านั้น แต่มีหัตถการอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งสิทธิประโยชน์ก็จะต้องครอบคลุมทั้งหมด ก็ต้องมาหารือเรื่องของราคา ขณะนี้ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมเพศวิทยาคลินิกและเวชศาสตร์ทางเพศ ที่ดูแลรักษาผู้มีเพศสภาพไม่ตรง ก็ทำคู่มือทำไกด์ไลน์ออกมาว่า ก็มีประมาณ 8-9 หัตถการที่ต้องทำ เช่น ตัดกราม ผ่าตัดใบหน้า ผ่าตัดหน้าอก ผ่าตัดอวัยวะเพศ เป็นต้น ซึ่งแต่ละหัตถการก็จะแบ่งเป็น 1 DRG ในการเบิกแยกกัน ไม่ได้รวมเป็นก้อนเดียว เรากำลังให้ทีมทำเป็นแพคเกจทั้งหมดของทรานส์เจนเดอร์ ซึ่งบางเรื่องมีอยู่แล้ว แต่แค่กระจัดกระจาย เราไม่เคยเอาพวกนี้มามองเป็นเรื่องของทรานส์เจนเดอร์ เราจะรวมแพคเกจมาคุยกันใหม่ ที่มีอยู่แล้วก็เอามารวม ที่ยังไม่มีก็เอามาเสริม แล้วประกาศเป็นแพคเกจสำหรับคนกลุ่มนี้ คาดว่าประมาณ 1-2 เดือนน่าจะแล้วเสร็จ
เมื่อถามต่อว่าสิทธิแปลงเพศจะจำกัดเฉพาะในสิทธิบัตรทองใช่หรือไม่ นพ.จเด็จกล่าวว่า ถูกต้อง เรื่องรักษาสิทธิใครสิทธิมัน แต่เรื่องส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคเราครอบคลุมหมด เช่น การส่งเสริมการใช้ฮอร์โมนก็จะอยู่หมดทุกสิทธิ แต่จะเขียนเป็นแพคเกจให้ชัดเจน ซึ่งยาฮอร์โมนเราคาดว่าจะใช้งบส่งเสริมป้องกันโรค (PP) เพราะเป็นการใช้ยาขณะยังไม่ป่วย ส่วนเกณฑ์ในการพิจารณาเบิกจ่ายสิทธิ ก็ต้องคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เพราะเวลาใครจะถูกบอกว่าจะเป็นทรานส์เจนเดอร์แล้วต้องใช้ยา ไม่ใช้ยาตัวไหน ใครจะเป็นคนตัดสิน แพทย์จะตัดสินด้วยเกณฑ์ (Criteria) อะไร หรือตัวผู้ป่วยเอง หรือคนที่เขารู้สึกอยากจะใช้ฮอร์โมนจะตัดสินอย่างไร เลือกเองได้ไหมก็ยังคุยกันอยู่ แต่โดยหลักต้องตัดสินใจร่วมกัน เหมือนเราแนะนำคนคุมกำเนิด หลังๆ เขาก็ไปซื้อเองไม่ต้องมาปรึกษาอะไรก็ได้ ตรงนี้ก็ต้องดูให้ละเอียดอีกที
“แต่การให้สิทธิยาฮอร์โมนเพื่อป้องกันการใช้ยาผิดประเภท ผิดวัตถุประสงค์ เพราะเรากังวลเรื่องการใช้กันเองจนเกิดความเสี่ยง ใช้ไม่เป็น เขาเล่าว่าต้องทำอย่างนี้ต้องใช้สูตรนี้ ถ้ามีวิชาการ หมอคนที่ทำเป็นคนให้ความรู้ก็จะยกระดับบริการตรงนี้ขึ้นมา ซึ่งทุกวันนี้ก็มีการใช้กันเองอยู่แล้ว ตรงนี้ก็จะใช้เวลา 1-2 เดือนเช่นกัน” นพ.จเด็จกล่าว
ข่าวจาก : มติชน
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ