นายจุลพันธ์ ระบุว่า ที่ประชุมยืนยันถึงความพร้อมของระบบ ทั้งการยืนยันตัวตนและระบบ การตรวจสอบสิทธิ์และการลงทะเบียนร้านค้า ซึ่งขณะนี้เปิดให้ประชาชนเข้าไปยืนยันตัวตนได้แล้ว ส่วนระบบในการแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ ยืนยันว่าเสร็จภายในไตรมาส 3 และเงินจะถึงมือประชาชนได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
ขณะที่คุณสมบัติ ของผู้ที่ได้รับสิทธิ์ยังคงเหมือนเดิม มีอายุ 16 ปีขึ้นไป รายได้ต่อปีไม่เกิน 840,000 บาทและเงินฝากในบัญชี ไม่เกิน 500,000 บาท
ส่วนการใช้จ่าย จะแบ่งเป็น 2 รอบ การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้า รัศมีภายในเขตอำเภอเหมือนเดิม ใช้ได้กับร้านค้า ที่เป็นร้านสะดวกซื้อลงไป ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้ากับร้านขนาดใหญ่ได้
ขณะที่ การใช้จ่ายในรอบที่ 2 เป็นการใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า ไม่ได้มีการกำหนดพื้นที่ใช้จ่าย และขนาดของร้าน ส่วนการแลกเป็นเงินสด ย้ำว่า จะต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี และจะต้องผูกเบอร์โทรศัพท์ และลงทะเบียนเบอร์โทรศัพท์มือถือระบบรายเดือน เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบหากมีปัญหาเกิดขึ้น
ส่วนรายการสินค้าที่ไม่เข้าร่วมโครงการหรือ Negative List ที่ประชุมมีข้อสรุป ห้ามซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์สมาร์ทโฟน อุปกรณ์สื่อสาร
นายจุลพันธ์ ระบุด้วยว่า มีข้อเสนอจากหน่วยจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้ส่งหนังสือมายังกระทรวงการคลัง เรื่องการจัดตั้งงบประมาณที่มีความเหมาะสม หากตั้งงบประมาณที่มากเกินไป อาจจะทำให้เสียโอกาส ในการพัฒนาส่วนอื่น ในที่ประชุมมีการหารือประเด็นนี้หลายครั้ง
ลด งบฯ เหลือ 450,000 ล้านบาท
โดยให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังไปศึกษา พบว่า ที่ผ่านมาการทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่เคยมีโครงการใดที่ใช้งบประมาณเกิน 90% เช่น โครงการคนละครึ่ง จึงมีข้อเสนอไปยังคณะกรรมการชุดใหญ่ ให้เตรียมวงเงินไว้รองรับ 450,000 ล้านบาท จากเดิม 500,000ล้านบาท แต่กลุ่มเป้าหมายยังเท่าเดิมที่ 50 ล้านคน แต่คาดว่าอาจจะมีคนลงทะเบียนไม่ถึง โดยจะมีการปิดรับลงทะเบียนก่อนสิ้นเดือนกันยายนนี้ จะทำให้มีตัวเลขของคนลงทะเบียนที่ชัดเจน จะทำให้ รู้ว่าจะใช้งบประมาณเท่าไหร่ และบริหารงบประมาณเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามกรอบที่ตั้งไว้ได้
ขณะเดียวกัน มีข้อเสนอจากสำนักงบประมาณ ในกรณีที่ไม่ต้องตั้งงบประมาณเอาไว้เกินความจำเป็น แหล่งเงินสามารถใช้งบประมาณปกติ และบริหารจัดการงบประมาณของแต่ละหน่วยงานมาใช้ทำโครงการได้ โดยมีแหล่งเงิน จากงบประมาณปี 2567 เป็นงบรายจ่ายประจำปี จำนวน 122,000 ล้านบาท รวมกับจากเงินจากการบริหารจัดการงบประมาณ 43,000 ล้านบาท รวม 165,00 ล้านบาท
ส่วนงบประมาณปี 2568 เป็นงบประมาณประจำปี 152,700 ล้านบาท เงินจากการบริหารจัดการงบประมาณ 132,300 ล้านบาทรวม 285,000 ล้านบาท รวม ทั้ง 2 ปีงบประมาณ เป็นเงินทั้งสิ้น 450,000 ล้านบาท
แย้มอาจไม่ต้องกู้ ธ.ก.ส.-นายกฯแถลงใหญ่ 24 ก.ค.
นายจุลพันธ์ ระบุว่า แนวทางที่มีการเสนอมาอาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณตามมาตรา 28 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังไม่จำเป็นต้องใช้เงินจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะแหล่งเงินจาก ธ.ก.ส. ที่มีข้อห่วงใยก่อนหน้านี้ แต่ใช้งบประมาณในมือที่รัฐบาลมีอำนาจบริหารจัดการ ซึ่งข้อเสนอนี้จะถูกนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ ในวันที่ 15 ก.ค. นี้ และหลังจากนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะเป็นคนแถลงรายละเอียดของโครงการรวมถึงวันเปิดลงทะเบียนด้วยตัวเองในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้
ข่าวจาก : PPTV Online
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ