10 ปลาไทยราคาไม่แพง อร่อย หาทานง่าย ได้โอเมก้า 3 สูง ไม่แพ้แซลมอนเลย





โดยส่วนใหญ่พอได้ยินคำว่า "โอเมก้า 3" เราก็มักจะนึกถึงกรดไขมันชั้นดีที่มีอยู่ในปลาแซลมอนหรือปลาต่างประเทศราคาแพง แต่ความจริงแล้วเราสามารถได้รับสารอาหารชั้นดีได้จากปลาบ้านๆในประเทศไทย จะมีอะไรบ้างตามมาดูกัน

คนไทยติดกับคำว่า ‘อร่อย’ แบบอาหารญี่ปุ่นมากเกินไป และคิดว่ามีเพียงอาหารญี่ปุ่นเท่านั้นที่สามารถให้คุณค่าทางอาหารที่สูงได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารไทยนี่แหละที่มีคุณภาพไม่ด้อยไปกว่าอาหารญี่ปุ่นเลย แถมราคาก็ถูกกว่า หาซื้อง่ายกว่า และทำเมนูต่างๆได้อย่างหลากหลาย ดังที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้นี่เอง

เมนูปลาแบบไทยๆที่มีโอเมก้าสูงเทียบชั้นกับแซลมอนมีอยู่หลายประเภท โดยส่วนใหญ่ก็มักเป็นปลาที่คุณทานกันอยู่แล้วเพียงแต่คุณอาจจะยังไม่รู้ว่ามันมีดีมากขนาดนี้  ถ้าอยากรู้แล้วตามมาดูกันได้เลย

 

1. ปลาสวาย

ปลาสวายเป็นปลาที่มีประโยชน์สูง เป็นสายพันธุ์พี่น้องของปลาดอรี่ แต่มีความอร่อยในรูปแบบที่ต่างๆกัน ปลายสวายมีส่วนหัวค่อนข้างเล็ก  รูปร่างเพรียวแต่ป้อมสั้น ปลาสวายมีโอเมก้า 3 สูงถึง 2,570 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100 กรัม มากกว่าปลาทะเลอย่างปลาแซลมอนที่มีโอเมก้า 3 ราว ๆ 1,000-1,700 มิลลิกรัมเท่านั้น 

เมื่อนำปลาสวายมาทำอาหาร ปลาอาจจะคาวได้ ดังนั้น วิธีที่นิยมนำมาปรุงอาหารจึงเป็นการทอดกระเทียม หรือนำไปทอดแล้วค่อยราดน้ำยำมะม่วงสับ เป็นต้น

1292.3

 

2. ปลาทู

คนไทยรู้จักปลาทูเป็นอย่างดี ปลาทูที่ขึ้นชื่อที่สุด คือ ปลาทูแม่กลอง แต่ปลาทูทั่วๆไปก็มีคุณค่าทางสารอาหารไม่แพ้กันเลย มีโอเมก้าสูงประมาณ 2,000-3,000 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ในประเทศไทยมีวางขายทั้งปลาทูนึ่งใส่เข่ง และปลาทูสด ถือเป็นอาหารที่ดีของทั้งคนและสัตว์เลยทีเดียว

นิยมนำไปทำอาหารได้ทั้งนึ่ง ทอด ต้มยำ หรือน้ำพริกปลาทู โดยใช้เนื้อปลาทูโขลกผสมรวมกับกะปิ

1292.4

 

3. ปลาช่อน

ปลาช่อนน่าจะเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างมาก มีส่วนหัวค่อนข้างโต รูปร่างทรงกระบอกยาว ลำตัวสีคล้ำอมมะกอกหรือน้ำตาลอ่อน ปลาชนิดนี้มีไขมันสูงจึงทำให้มีโอเมก้าทรีสูงไปด้วยมีประมาณ 870 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม

นิยมนำปลาช่อนไปใส่ในแกงส้ม ทำเป็นปลาช่อนลุยสวน หรือต้มยำปลาช่อนก็อร่อยดี

1292.8

 

4. ปลาดุก

ปลาดุกเป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด ลำตัวยาว  มีหนวดยาวแปดเส้น มีครีบหลังและครีบก้นยาวเกินครึ่งของความยาวลำตัว เป็นปลาอีกชนิดที่มีไขมันดีสูงไม่แพ้ปลาชนิดไหน

นิยมนำปลาดุกไปทอดกรอบ ทำเป็นยำปลาดุกฟู ปลาดุกผัดฉ่า โดยมักจะเป็นเมนูที่มีรสชาติร้อนแรงเพื่อกลบความคาวของปลาชนิดนี้นี่เอง

1292.6

 

 

5. ปลากะพงขาว

ปลากะพงขาวพบได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำกร่อย หัวโต ลำตัวหนาและด้านข้างแบน มีขนาดความยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร และพบใหญ่ที่สุดถึง 2 เมตร มีโอเมก้าประมาณ 310 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม

นิยมนำไปทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด หรือนึ่ง นับเป็นปลาชนิดหนึ่งที่คนไทยชอบทานกันมากที่สุดเลย

1292.12

 

[ads]

6. ปลาสำลี

ปลาสำลี เป็นปลาที่มีลำตัวค่อนข้างยาว สีหลังเป็นสีเทาอมน้ำตาล ส่วนสีข้างและท้องเป็นสีเทาจางลงมาเรื่อย ๆ โดยบริเวณสันท้องจะเป็นสีขาว ปลาชนิดนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดถึง 70 เซนติเมตร และน้ำหนักมากถึง 50 กิโลกรัม

ปลาชนิดนี้นิยมนำไปทอด ทำปลาสามรส หรือทำปลาเผาแล้วทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด อร่อยเป็นที่สุด

 

 

7. ปลาจะละเม็ดขาว

ปลาหน้าแปลกทรงรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนนี้ พบได้มากในทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทย บริเวณหมู่เกาะอ่างทอง  รวมถึงฝั่งทะเลอันดามัน

นิยมนำไปนึ่งหรือทอด ตัวอย่างเมนูเช่น ปลาจะละเม็ดขาวนึ่งบ๊วย ปลาจะละเม็ดขาวนึ่งซีอิ๊ว เป็นต้น

 

 

8. ปลาเก๋า

ปลาเก๋าเป็นปลาขนาดใหญ่ ร่างยาวอ้วนป้อม มีสีตามตัวและครีบเป็นดอกดวง แต้ม หรือบั้ง ฉูดฉาดหรือคล้ำทึบแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดและขนาด

นิยมนำมาทำเมนูได้หลากหลาย ทั้งปลาเก๋าสามรส ปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว ปลาเก๋าผัดฉ่า ปลาเก๋าราดพริก และปลาเก๋าลวกจิ้ม

 

 

9. ปลานิล

ปลานิลสามารถอาศัยอยู่ได้ในน้ำจืดและน้ำกร่อย มีขนาดลำตัวใหญ่ ความยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร แพร่ขยายพันธุ์ง่าย และมีรสชาติดี

สามารถนำปลานิลไปทำอาหารได้หลายอย่าง ทั้งปลานิลทอด ปลานิลสามรส ปลานิลราดพริก ปลานิลนึ่งซีอิ๊ว หรือปลานิลนึ่งมะนาว

 

 

10. ปลากราย

ปลาชนิดสุดท้าย คือ ปลากราย ปลากรายมีปากกว้างมาก มุมปากจะอยู่เลยขอบหลังลูกตา ในตัวเต็มวัยส่วนหน้าผากจะหักโค้ง ส่วนหลังโก่งสูง

ที่นิยมมากๆ คือ การนำปลากรายไปทำลูกชิ้นปลากราย ทอดมันปลากราย หรือผัดเผ็ดปลากราย

 

 

เคล็ดลับการประกอบอาหารจากให้คงคุณค่าของกรดไขมันโอเมก้า 3

กรดไขมันประเภทนี้ มักจะถูกทำลายได้ง่ายเมื่อนำไปประกอบอาหารด้วยวิธีใช้ความร้อนสูง ๆ โดยเฉพาะวิธีการทอด เพราะโอเมก้า 3 จะละลายไปกับน้ำมันที่ใช้ทอดเกือบทั้งหมด ดังนั้น วิธีที่จะประกอบอาหารให้ คงกรดไขมันโอเมก้า 3ไว้ให้ได้มากที่สุดก็คือ การใช้ความร้อนให้น้อยที่สุด เช่น การยำ การทำฉู่ฉี่ การต้ม เพราะส่วนใหญกรดไขมันโอเมก้า 3 จะยังคงละลายอยู่ในน้ำซุป ไม่สลายไปไหน

 

ดังนั้น อย่าลืมสังเกตทั้งชนิดของปลาและวิธีการปรุงกันก่อนรับประทานด้วยจะช่วยให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด

 

จะเห็นได้ว่าเมนูปลาของไทยหลากหลายไม่แพ้ชาติใดเลย ประกอบกับฝีมือการปรุงรสแบบคนไทยแล้ว เชื่อว่าการรับประทานอาหารไทยย่อมได้ทั้งความอร่อยและสารอาหารควบคู่ไปด้วยกันเสมอ หากร่างกายต้องการโปรตีน เมนูปลาเหล่านี้เหมาะสมที่สุดแล้ว ลองทานสลับกันทั้งปลาน้ำจืดและปลาทะเล คุณจะได้สารอาหารที่หลากหลายมากขึ้นอย่างแน่นอน

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, Wikipedia และ foodnetworksolution.com

 

[ads=center]

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: