เทคนิคดีๆ พิชิตข้อสอบ IELTS ภายใน 20 วัน !





ก่อนอื่นต้องแนะนำการสอบ IELTS ก่อนนะว่า มันคือการสอบวัดความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษทุกทักษะเลย ได้แก่ Listening Reading Writing และ Speaking โดยคะแนนที่เราจะได้เค้าจะให้มาเป็น Band Score หรือพูดง่าย ๆ ก็คือระดับการใช้ภาษา ตั้งแต่ 1 ถึง 9 นะจ๊ะ โดยเฉลี่ยแล้ว ถ้าต้องการเรียนต่อปริญญาโท มหาวิทยาลัยในประเทศและเมืองนอก เฉลี่ยคะแนนที่ต้องการอยู่ที่ 6.5 ขึ้นไป

ใน 20 วันของการเตรียมตัว ทักษะที่ต้องฝึกทุกวันคือ Listening และ Speaking จะฝึกจากการฟังคลื่นวิทยุที่มีภาษาอังกฤษ หรือดูหนัง หรือจาก Youtube หรือดูข่าว BBC มีหลายวิธีมากมาย และปัจจุบันมี Application ในมือถือช่วยฝึกฟังและพูดภาษาอังกฤษ คือทำยังไงก็ได้ ให้ 20 วันนี้เราคุ้นเคยกับสำเนียงภาษาอังกฤษมากที่สุด โดยเฉพาะสำเนียงแบบอังกฤษแท้ ๆ เพราะ IELTS จะสอบฟัง และสอบพูด จากฝรั่งสำเนียงอังกฤษแท้แม่ให้มา ส่วน Speaking ไม่ยาก ลองพูดตาม เอาเท่าที่เราจะพูดตามได้ สิ่งที่เราจะได้ฝึกคือ Intonation หรือการพูดเสียงหนักเบา ในภาษาอังกฤษ

เอาล่ะ พอรู้กันคร่าว ๆ และตกลงกันนิดหน่อยแล้ว เริ่มวันแรกกันเลยจ้า

Day 1 – Day 4 : Grammar Preparation

4 วันแรกของการเตรียมตัว เราควรจะทบทวนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน แต่ไม่ต้องทบทวนทุกเนื้อหานะ เอาที่สำคัญสำหรับใช้ในการสอบ IELTS ก็พอ มีอะไรบ้าง? เราได้จัดตารางมาให้แล้ว

Day 1 – Noun, Pronoun + ฝึกฟัง ฝึกพูด

Day 2 – Verb Tenses, Modals + ฝึกฟัง ฝึกพูด

Day 3 – Agreements, Comparison, Modifiers + ฝึกฟัง ฝึกพูด

Day 4 – Modifiers, Conditional, Passive Voice + ฝึกฟัง ฝึกพูด

ทั้ง 4 วันนี้เป็นการปูพื้นฐานให้แน่น รองรับการสอบเขียนในลำดับต่อไป

Day 1 : Noun, Pronoun 

คำนาม และ คำสรรพนาม เป็นเรื่องแรก ๆ ที่เราถูกสอนตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ทบทวนซิว่า คำนามมีกี่ประเภท หลัก ๆ ก็มี 2 ประเภท คือ คำนามนับได้ และ คำนามนับไม่ได้ หลักการเติม a, an, the คำนามที่นับได้สามารถเติม a, an ได้ แต่ถ้านับไม่ได้เราไม่เติม คำนามนับไม่ได้ที่ใช้บ่อย ๆ ก็เช่น information, news, furniture ถ้านับไม่ได้จะอยู่ในรูปพหูพจน์ เอามาเติม s ไม่ได้ และเรื่อง คำสรรพนาม I, You, We, They, He, She, It พวกนี้ใช้เป็นประธาน ถ้าเป็นกรรมของประโยคก็ต้องใช้อีกแบบ รวมไปถึงพวกคำเรียกแทนอื่น ๆ เช่น Everyone, Everything, Someone, Something, Anyone, Anything, No one, Nothing และพวก Each, Every ที่ต้องเน้นพวกนี้ เพราะสำคัญในการเขียน เราอาจจะใช้คำสรรพนามพวกนี้แทนสิ่งที่เราพูดไปก่อนหน้า

Day 2 : Verb Tenses, Modals

หลังจากวันแรกที่เรารู้คำนามและคำสรรพนามแล้ว วันนี้เราจะลุย คำกริยา และการผันตามเวลา (Tense) หลัก ๆ มี 3 เวลาคือ Present, Past, Future และทั้ง 3 เวลาก็แบ่งเป็นเวลาละ 4 แบบคือ Simple, Continuous, Perfect, Perfect Continuous ใน 12 Tense ที่เราควรจะโฟกัสมากที่สุดคือ Past Tense เพราะสำคัญสำหรับการเขียนมาก อย่างเวลาสอบเค้าจะให้กราฟเรามาเขียน และมักจะเป็นเรื่องที่เกิดไปแล้วในอดีต รองลงมาคือ Present Tense โดยเฉพาะ Present Simple ที่ใช้ในการบอกสิ่งที่เป็นจริงเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ใช้กับ Fact 

Modals หรือ Verb ช่วยพวก can, could, shall, should, may, might, will, would, ought to เพื่อบอกความหมายว่าเป็นการแนะนำ หรือคาดคะเน

Day 3 : Agreements, Comparison, Modifiers

ในวันที่สาม เอา 2 วันแรกมารวมกัน ฝึก Agreements หรือการผันกริยาตามประธาน สำคัญมาก ๆ เป็นเรื่องที่ต้องแม่นกันเลย เพราะเวลาวัดระดับการเขียน จุดที่เป็น Agreements เยอะแน่ ๆ เช่น Everyone goes to work in the morning. go ตัวนี้เมื่อผันกับ Everyone ต้องเติม es เพราะ Every ตามด้วยคำไหนก็ตามแต่ จะเป็นคำนามเอกพจน์เสมอ

ต่อมา Comparison ฝึกการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ (Adjectives) คำกริยาวิเศษณ์ (Adverbs) เพื่อเปรียบเทียบกราฟ หรือแผนภูมิใน Writing เค้าจะให้ข้อมูลแล้วให้เขียนบรรยายอันไหนเยอะกว่าอันไหน สถิติอันไหนแย่กว่า Adj. กับ Adv. เลยเข้ามามีบทบาทมาก พวกดีกว่า แย่กว่า better, worse คำเปรียบเทียบแบบเปลี่ยนรูปอันนี้ควรจะทบทวนเลย และระวัง อย่าเปรียบเทียบเติมขั้นกว่าซ้ำ ยังไง? ก็อย่างจะบอกว่าคนนั้นดูดีกว่า That person is more nicer. ผิดนะจ๊ะแบบนี้ มีทั้ง more และ nicer ขั้นกว่า 2 ชั้นเลย เอามาชั้นเดียว ที่ถูกต้องแค่ That person is nicer. พอแล้ว และขั้นสูงสุด ต้องเติม The ไว้ข้างหน้าด้วยนะ

Modifiers พวกคำขยาย Adj. Adv. ต่าง ๆ ให้พยายามจำเยอะ ๆ จึงต้องแบ่งให้จำกัน 2 วันคือ Day 3 กับ Day 4 พวกนี้จะใช้ในการบอกความเข้มข้นของคำ อย่างถ้าเราบอกว่า ยาก เฉย ๆ ก็อาจจะยังไม่เจาะจง ใส่คำว่า quite (adv.) คำขยายเข้าไปเป็น quite difficult ความหมายก็จะกระจ่างมากขึ้นว่า อ๋อ ยากแบบค่อนข้างยากนะ

Day 4 : Modifiers, Conditional, Passive Voice

ทบทวน Modifiers ต่อจาก Day 3 และอ่านเพิ่มเติมคำขยาย ยิ่งมีเยอะ ยิ่งแสดงถึงพลังในการใช้ภาษาอังกฤษของเรา Conditional (ประโยคเงื่อนไข) พวก if-clause พวก wish ว่าต้องใช้ยังไง อันนี้เอาไว้เขียนแสดงความคิดเห็นแบบ agree or disagree ได้ เอาไว้ให้คนตรวจให้คะแนนเห็นภาพมากขึ้น

Passive Voice ประโยคที่เน้นว่ากรรมถูกกระทำ ปกติเราคุ้นเคยกับการเขียนแบบ Active Voice เช่น He ate a slice of cake. แต่ถ้าเราจะไม่เน้นคนกิน เน้นให้เห็นว่าเค้กมันถูกกินไปชิ้นนึงแหละ ก็ต้องทำให้เป็นโครงสร้าง V. to be + V.3 ให้เป็น A slice of cake was eaten. แบบนี้ มักจะใช้กับประโยคที่เราไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นประธานน้า

Day 5 : Writing Day 1 – Connector, Agree or Disagree Essay

มาถึงวันที่ 5 วันนี้เราจะเอาศาสตร์ไวยากรณ์ทั้ง 4 วันก่อนมาบูรณาการกัน 555 คำยากเชียว เอามาใช้จริงกันซักที วันนี้ให้ฝึกคำเชื่อม Connector หรือ Conjunction เพื่อเชื่อมโยงความหมาย ตัวที่ควรจะฝึกกันอย่างแรกคือ พวกคำเชื่อมที่เป็นลำดับ First, Second, Third, Finally และพวกคำเชื่อมโยงที่เห็นเหตุเป็นผลกัน อย่าง Because, Since, So, Therefore

แล้วจากนั้นมาฝึกเขียน Essay กัน

แบบฝึกเขียนเรียงความแรกสำหรับ IELTS คือการเขียนแสดงความเห็นกับ Agree or Disagree Essay ลองนึกโจทย์ที่เกี่ยวกับ Agree or Disagree มา อย่างรอบที่เราไปสอบได้เรื่องที่ว่า คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า เทคโนโลยีทำให้เด็กมัธยมฉลาดขึ้น เป็นเรียงความแสดงความคิดเห็น สิ่งที่ต้องจำไว้คือ เราต้องมี Main Idea ที่ชัดเจน มีจุดยืนชัดไปเลยว่า เราเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ยังไง จากนั้นพยายามเขียนอธิบายเหตุผลเพื่อสนับสนุนความคิดนี้ให้ชัดเจน และมีเหตุผล แต่ในขณะเดียวกัน ต้องเขียนให้ถูกหลักไวยากรณ์ โดยเอา 4 วันที่ผ่านมานั้น มาเขียนให้ถูกต้อง ผันตามประธาน และให้มีคำเชื่อม Connector เพื่อความราบรื่น ต่อเนื่อง ดูเป็นเอกภาพหรือเป็นเรื่องเดียวกัน

 

[ads]

Day 6: Reading Day 1 – Matching headings, Matching features, Multiple Choices, Note Completion

            หลังทบทวนไวยากรณ์ และฝึกเขียน วันนี้ก็ถึงเวลาฝึกอ่านกันแล้ว! การสอบอ่านของ IELTS จะเป็นบทอ่านที่ดูย้าวยาว แต่คำถามนั้นไม่ได้ต้องให้เราอ่านทุกข้อความ อย่าง Matching headings และ Matching features เราจะฝึกโดยเริ่มจากอ่านโจทย์ให้เข้าใจว่าเค้าต้องการให้เราตอบคำถามอะไร จากนั้นก็จะมี List ของคำและข้อความให้เราจับคู่กัน จากนั้นให้สแกนหาหัวข้อที่อยู่ใน List แล้วขีดเส้นใต้เพื่อทำเครื่องหมาย แล้วอ่านข้อความรอบ ๆ Keyword นั้น ตัวไหนที่ดูเข้าคู่กับข้อความได้ จัดไปโลด เพราะฉะนั้นการฝึกคือฝึกสแกน Passage

แล้วเราก็จะฝึกทำ Multiple Choices คือตอบคำถามโดยมี A B C หรือ D ให้เลือก คำถามส่วนใหญ่จะถามเอารายละเอียด อันนี้เราก็หา Keyword แล้วถึงจะดูข้อความที่เชื่อมโยงได้ ส่วนคำถามที่จะต้องอ่านทั้งหมด Passage คือพวกประเภท the purpose of the passage, the main argument, the best title เราจะอ่านเพื่อดูภาพรวมของเรื่อง แต่คำถามของ IELTS ให้จำไว้ว่าคำถามใน Reading นั้นจะถามตามลำดับของเนื้อเรื่อง เรียง ๆ กันลงไป เพราะฉะนั้น เราตอบคำถามไปพร้อม ๆ กับการอ่าน Passage ได้ ก็จะช่วยให้ทำข้อสอบเร็วขึ้น ไม่ต้องอ่านสลับกันไปมา เสียเวลาแย่เลย

Day 7: Writing Day 2 – Connector 2, Problem and Solution Essay, Cause and Effect Essay

            Task ในการเขียนวันนี้ฝึกเขียนเรียงความที่เป็นเหตุและผล ปัญหาและทางแก้ไข โดยเราจะฝึกเชื่อมด้วย Connector ที่บอก Cause and effect เช่น because, since, for, as, so, thus, therefore, as a result เขียนแบบให้มีหัวข้อเลือกมาสักหัวข้อ เช่น เพราะเหตุใดรถถึงติดแถวสยามตลอด หรือทำไมรีโมททีวีชอบหายทุกครั้งเวลาเราหามัน 555 อะไรก็ได้เพื่อฝึกการเขียนของเรา

Day 8: Listening and Speaking Day 1 – Listening Section 1, Speaking part 1 (Introduction and Interview)

            จำได้มั้ยที่บอกกันไว้ว่า Listening and Speaking เราควรฝึกทุกวัน วันนี้ได้ฝึกเต็มที่เลย เหตุผลที่เราต้องฝึก Skill ทั้งสองนี้ควบคู่กับทุกอย่างเพราะเราอยู่ในประเทศที่ไม่ได้มีภาษาแม่เป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ยากม๊ากที่จะหาโอกาสในการพูดคุยหรือสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเราฝึกทุกวัน ฝึกจนคุ้นสำเนียง คุ้นปากแล้ว เวลาสอบจะช่วยให้ปรับตัวและคล่องขึ้น อย่างสำเนียงที่เลือกฟังก็ต้องเป็นจากฝั่งอังกฤษ เพราะสถาบันที่จัดสอบอย่าง Cambridge นั้นเป็นสถาบันในประเทศอังกฤษ

            โดยวันนี้เราจะฝึกการฟังอาจจะฟังจากช่อง Youtube ให้ฟังโดยเดาความหมายตามไปด้วย หรือจะฟังข่าวจาก BBC เพื่อให้เคยชินกับ British Accent แล้วเราก็จะฝึกพูดง่าย ๆ กับกระจก โดยวันนี้จะฝึก Introduction ตัวเอง แนะนำตัวเองดูซิ จะเริ่มจากเตรียม script แล้วท่องตามให้เป็นธรรมชาติก็ได้ เพราะแนะนำตัวมีอยู่ทุกครั้งที่เข้าสอบพูด กรรมการเค้าจะให้เราแนะนำตัวก่อนเลย พยายามยิ้มกับกระจกด้วยนะ เพราะถึงเวลาจริง กรรมการเค้าก็อาจจะไม่ได้ยิ้มตอบกลับเรา เตรียมตัวอย่าเสีย self นะ

Day 9: Writing Day 3 – Formal words, Descriptive essay, Advantages and Disadvantages essay

ฝึกเขียนกันต่อด้วยการเขียนคำแบบสุภาพ อย่าง will can เปลี่ยนเป็นรูปสุภาพให้เป็น would หรือ could หรือวลีอย่าง want to (อยาก, ต้องการ) ก็ให้เป็นมาเป็น would like to จะดูสุภาพ soft หวานกว่า หรือการยกสรรพนามในภาษาอังกฤษที่เราต้องยกคนอื่นขึ้นก่อนเรา เช่น My brother and I ไม่ใช่ I and brother แบบนี้จะดูยกตัวเองขึ้นก่อน ไม่งาม

ต่อด้วยฝึกเขียน Descriptive Essay เรียงความบรรยายเหตุการณ์เป็นลำดับ ๆ ใช้ First, Second, Third หรือคำเชื่อมอย่าง Then, After that และพวก Adjective ที่บรรยายให้เห็นภาพ อาจจะเล่าเหตุการณ์ที่เคยไปเที่ยวแล้วประทับใจ ฝึกเขียนดูนะ และ Advantages and disadvantages essay เรียงความบอกประโยชน์และโทษต่าง ๆ ถ้าจะเขียนเรียงความประเภทนี้ ก็แนะนำว่าให้เราเลือกไปเลยว่าจะนำเสนอข้อมูลด้านไหนมากกว่า อย่างเช่นจะบอกข้อดีมากกว่า ก็ให้ยก Advantages ไปอยู่ด้านหลัง แล้วบรรยายให้ชัดว่าทำไมถึงไม่ดียังไง แต่ที่ดีก็มีเยอะกว่านะ ลองเขียนให้ได้มากกว่า 300 คำ สู้!

Day 10: Reading Day 2 – Multiple Choices, Sentence Completion, Matching Information, Summary Information

            ทำโจทย์แบบมีตัวเลือก ให้พยายามอ่านให้ไว เพราะปัญหาที่เจอคือเด็กทำไม่ทันกัน ก็ให้ดู Keyword แล้วตอบคำถาม อ่านโจทย์ให้เคลียร์ว่ามันถามหรือต้องการอะไร แล้วฝึกทำ Matching Information ซึ่งเหมือนกับ Matching ตัวอื่นๆ Summary Information ที่เราอ่านแล้วสรุปได้ว่ายังไง มีคำตอบมาให้เลือกเป็น List ฝึกอ่านเร็วแล้วหา Keyword ไม่ต้องกลัวกระดาษสะอาด ให้ใช้ดินสอที่เค้าเตรียมให้เรา ทำเครื่องหมายในข้อสอบได้เลย

Day 11: Writing Day 4 – Bar chart, Line graph 

ฝึกทำ Task 1 ในการสอบเขียน IELTS นั่นคือการเขียนบรรยายพวก Bar chart และ Line Graph ให้เก็บรวบรวมคำศัพท์ Wording พวกที่เราจะใช้ในการเปรียบเทียบ มากกว่า น้อยกว่า เพิ่มขึ้น ลดลง เพิ่มขึ้นสูงมาก หรือลดฮวบ อย่าง more than, less than, increase, decrease, decline, soar, plunge แล้วเริ่มฝึกกับ Bar Chart เรียกง่ายก็แผนภูมิแท่ง ตรงนี้ลองหาพวกแบบฝึกเขียนได้ตาม Google ลองพิมพ์คำว่า “IELTS Writing Task 1 Bar Chart Topics” แล้วใส่ในช่อง search มันก็จะขึ้นมาให้ เข้าไปเลือกหาโจทย์ทดลองทำได้เลย การเขียนที่ดีจริง ๆ ควรจะมีผู้รู้มาคอยตรวจและให้คำแนะนำ แต่ถ้าไม่มีก็ลองเปรียบเทียบคำตอบกับตัวอย่างคำตอบในอินเตอร์เน็ทได้ และฝึกเขียนบรรยาย Line Graph (กราฟเส้นด้วย ดูแยกให้ถูกปีไหน เปรียบเทียบกับปีไหน หัวข้อเรื่องอะไร อันนี้สำคัญมาก ๆ ต้องอ่าน Instructions ให้ถ้วนถี่ จะได้ไม่โป๊ะ เวลาเขียน 

Day 12: Listening and Speaking Day 2 – Listening section 2, Speaking part 2 (individual long turn 1) 

ทำซ้ำเหมือนเดิม เหมือนทุก ๆ วัน คราวนี้ให้หาแบบฝึกหัดมาที่มี CD และ Transcript และโจทย์มาให้ทำ ฝึกฟัง Keyword ซึ่งจะเขียนอยู่ในโจทย์รอแถว ๆ ช่องว่างให้เติมคำ ตอนทำให้เราสแกนอ่านคำถามให้หมดก่อน เพื่อดูแบบ Overview หรือภาพรวม พอถึงเวลาที่เราฟัง เราก็จะรู้ว่าคำนี้มันถามอยู่แถวไหน ตอนทำข้อสอบฟัง ไม่ต้องกลัวสลับไปมา ที่เราฟัง กับโจทย์ที่ให้ตอบคำถาม มันเรียงลำดับตามกันอยู่แล้ว 

Speaking ฝึกพูดแบบยาว โดยเลือกหัวข้อการพูดมา จริง ๆ อยากให้โหลดพวก App ที่ชื่อ IELTS Speaking เพราะมันจะมี Topics ที่เก็งว่าจะออกสอบมาให้เป็น List เลย ฝึกพูดตามหัวข้อที่เราสนใจ ตอนก่อนพูดคิดนิดนึงก่อน เพราะเวลาพูดสอบ เค้าก็จะให้เวลาเราคิดนิดนึง ฝึกคิดเป็นแบบ Bullet Point นหัว แล้วพูดให้ครบทุกหัวข้อ อย่าลืมถ้าเรากำหนดว่า นาทีคือพูดให้จบ นาที อย่ารีบพูดไว จบก่อน พยายามต่อไปให้ได้ครบเวลา จะช่วยอัพเลเวลราได้ 

Day 13: Writing day 5 – Table, Pie chart 

เขียนเรียงความ Task 1 ต่อ ด้วยแบบ Table หรือตารางแบบต่าง ๆ บางทีจะมาเป็นสถิติให้เราเขียน เช่น 

โดยบอกบรรยายเปรียบเทียบเปอร์เซนต์ที่ผู้ใช้โทรศัพท์เค้าใช้โปรแกรมในมือถือ เทียบกัน ปี ให้ดึงจุดที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด และที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเลย ยกมาแล้วเขียนบรรยาย อย่างในตัวอย่างก็ Search the Internet กับ Record Video ที่มีเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณ และที่ไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่คือ Make Calls และ Send & Receive text message จะเห็นว่าไม่จำเป็นต้องบรรยายทุกช่อง เอาแค่ที่เราคิดว่าชัดเจน และโฟกัสได้ 

พอฝึกกับตารางเสร็จก็ให้เขียนที่เป็น Pie Chart ที่เป็นเหมือนรูปเค้ก ไม่ต่างกับการเขียนแบบข้างบนเลย เพียงแต่ใช้ภาพมาช่วยเปรียบเทียบเท่านั้น 

ฝึกเขียน Task 1 ให้ได้ 150 คำภาษาอังกฤษ 

IELTS_03

Day 14: Reading Day 3 – YES/NO/NG, Matching sentence, sentence completion 

อ่าน Passage แล้วจับคู่ประโยค เหมือนเดิมเลยนั่นก็คือหา Keyword แล้วอ่านต่อไปนิดหน่อย ก็จะตอบได้ ส่วนที่เพิ่มเติมของวันนี้คือเราต้องแยก YES / NO / NG (Not Given) ใน Passage 

Tips ในการทำ YES / NO / NG (Not Given) ก็คือ YES เป็นการตอบว่าเป็นข้อความที่เป็นจริงใน Passage อันนี้ง่ายไม่มีปัญหา เพราะถ้ามีและใช่ก็ตอบไปว่า YES แต่ที่จะคาบเกี่ยวกันคือเจ้าตัว No กับ Not Given ให้ดูง่าย ๆ ถ้า NO เลยเนี่ยจะตอบในข้อที่เห็นชัดเลยว่าขัดแย้งกัน สมมติ ในบทอ่านบอกว่า พลังงานน้ำเป็นพลังงานที่มีราคาถูกที่สุด แต่ในคำถามที่ถามเรามากลับบอกว่า ไม่มีพลังงานไหนที่จะมีราคาสูงเท่ากับพลังงานน้ำอีกแล้ว แหนะ แบบนี้ก็ต้องตอบว่า NO อย่างนี้ชัดเจน ส่วน Not Given คือข้อความที่พอเราอ่านแล้ว คิดว่ามันไม่มีแนวโน้มเลยว่ามันจะมาอยู่ในบทความนี้ คือไม่มีพูดถึงในส่วนไหนเลย เช่น บทอ่านพูดเรื่องพลังงานน้ำ กับ พลังงานลม แต่โจทย์ข้อนี้บรรยายว่า การใช้คนมาปั่นจักรยานแล้วทำให้เกิดพลังงานเป็นเรื่องดี อันนี้ไม่ใช่ละ พลังงานกล จากคนปั่นจักรยาน ไม่ได้อยู่ในขอบเขตนี้เลย NG เลยจ้า 

Day 15: Reading day 4 – Table completion, short-answer questions, TRUE/FALSE/NG 

การอ่านต่ออีก วัน วันนี้จะเริ่มจากการเขียนเติมในตาราง โดยข้อมูลที่จะเติมในตารางต้องอ่านมาก่อนในบทความ เราจะเติมได้ ก็ต้องหาความเชื่อมโยงในตารางก่อน แล้วก็แบ่ง group ของไอเดียที่เค้าให้มาได้ว่าที่เว้นไปจะสื่อหรือต้องการข้อความแบบไหน รวมไปถึงตอบคำถามสั้น ๆ จากคำถามที่ให้มา อันนี้ใช้วิธี skim and scan ได้ ไม่จำเป็นต้องอ่านทั่ว หาจุดที่จะตอบคำถามเราในบทความให้ได้ 

TRUE/FALSE/NG เหมือนกับเจ้าตัว YES / NO / NG (Not Given) ของ Day 14 เดี๊ยะเลย เพียงแต่เปลี่ยนจาก TRUE เป็น YES จาก FALSE เป็น NO เท่านั้น 

 

Day 16: Listening and Speaking day 3 – Listening Section 3, speaking part 2 (individual long turn 2) 

มาถึง 5 วันอันตรายก่อนลุย IELTS ของจริงแล้ว วันนี้ฝึกจับเวลาจริงแล้วทำข้อสอบ ให้สังเกตใจตัวเองว่าเวลาทำอยู่เรากระวนกระวายมีสมาธิหรือไม่ แล้วดึงตัวเองกลับมาให้ได้ เพราะเวลาจริง มีเวลาแค่ รอบเท่านั้นจะกรอกลับให้ฟังอีกรอบ ไม่มีนะจ๊ะ สติต้องมา สมาธิต้องนิ่งจริง ๆ แล้วตอนเขียนลงกระดาษคำตอบ เขียนให้เป็นตัวบรรจงนิดนึง เพื่อความชัดเจนให้กับกรรมการ 

Speaking สอบพูดโดยลองอัดเสียงตัวเองดูว่าเวลาตอบคำถามภาษาอังกฤษ เราพูดเป็นอย่างไร ติดคำว่า Um, Ah, Er ติดคำว่า Like, and then, it’s it’s it’s แบบนี้หรือเปล่า ถ้ารู้ว่ามีก็ปรับแก้ไขโดยเปลี่ยนไปเป็น เงียบแล้วคิดแล้วถึงค่อยพูดออกมา เพราะเวลาสอบจริง กรรมการก็จะใช้เครื่องอัดเสียงใช้ในการให้กรรมการท่านอื่นคิดคะแนนให้เราอีกที ลองคิดดูสิว่า เสียงแบบนี้ให้กรรมการคนอื่นฟัง เลเวลราจะลดลงมาป่าวน้า เพราะฉะนั้น ถ้าทำให้อาการ เอ่อ อ่า อืม นี้หายไปเลย เป็นไปไม่ได้ ลดลงมาหน่อยก็ดีน้า 

Day 17: Writing Day 6 – Diagram, Flow Chart 

เขียนอีกแล้ว คราวนี้มาเป็นแผนภาพเลย Diagram ก็เช่นพวกแผนภูมิรูปวงกลม 2 วงซ้อนกันอยู่ให้หาจุดที่เหมือนหรือที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับโจทย์ การเขียนต้องมาตรวจดูว่าเราเขียนถูก Grammar รึยังนะ ข้อมูลครบ ไวยากรณ์ถูกต้อง Band Level ก็จะออกมาดี ดูให้ถ้วนถี่ว่าที่เราผันกริยาตัวนี้ถูกรึยัง เติม หรือ es มั้ย ใส่จุด full stop ให้แล้วรึเปล่า เพราะงานเขียนเป็นงานละเอียด งานที่ให้คะแนนแบบนามธรรม ดังนั้นเราจะต้องรอบคอบกับจุดทุกจุดที่เราเขียนส่งไป 

IELTS_04

Day 18: Reading day 5 – Reading comprehensive test 1 

Day 19: Reading day 6 – Reading comprehensive test 2 

วันนี้เราจะทุ่มเทให้กับการอ่านเต็มที่เลย โดยแบ่งให้ทำแบบฝึกหัด Reading เต็ม ๆ ทั้งสองวัน วันแรก ทำข้อสอบที่เก็ง IELTS แล้วลองดูสิว่าเราทำมันทันหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่เวลานักเรียนอยู่ในห้องแล้วทำข้อสอบ และมีเวลาเดิน ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก อยู่บนหน้าจอ เป็นอะไรที่กดดันอยู่มากพอสมควร และพบว่ามากกว่าครึ่งทำไม่ทัน ก็ต้องลองจับเวลาเองแล้วทำ test 1 จากนั้นอีกวันนึงวันที่ 19 นำเอาข้อปรับปรุงของวันที่ 18 มาแก้ไข ทำช้าหรอ หืม ก็ทำให้เร็วขึ้น คำศัพท์อ่านไม่เข้าใจหรอ หืม ก็ฝึกเดาศัพท์จากบริบทรอบข้าง จะบอกก่อนว่าศัพท์ในบทอ่านของ IELTS เป็นระดับศัพท์ใช้ในชีวิตเราทั่วไป จนถึงศัพท์วิชาการพื้นฐานที่เราพอรู้กันอยู่แล้ว ดังนั้น จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัพท์ แต่ปัญหาจะอยู่ที่ว่า โจทย์ทำให้เราต้องเสียเวลาอ่าน ซึ่งจริง ๆ แล้วบางประเภทเท่านั้นที่ถามภาพรวม แต่ถ้าถามยิบย่อย จับเอา Keyword แล้วอ่านรอบๆ ก็ตอบได้แล้ว 

และแล้วก็มาถึงวันที่ 20 วันก่อนที่จะสอบจริง เราก็จะฝึก Listening กับ Speaking ซึ่งเป็นสิ่งที่เราบอกมาตั้งแต่ต้นว่าให้ฝึกควบคู่มาทุกวัน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี Listening และ Speaking หรือไม่เพราะ 2 skill นี้ใช้เวลามากในการฝึกฝน เพียงชั่วข้ามคืนไม่สามารถพัฒนาได้ทัน 

Day 20: Listening and Speaking Day 4 – Listening section 4, Speaking part 3 (two-way discussion) 

จุดที่ต้องฝึกและโฟกัสของวันสุดท้ายนี้ คือการฟังและการพูด Listening เราจะเอาข้อสอบมาฝึกทำ แบบจับเวลาอีกครั้ง ครั้งนี้เราจะทำให้ดีกว่า Day 16 แน่นอน เพราะเมื่อฝึกมาแล้ว แล้วแก้ไขจุดที่บกพร่อง เราจะปรับกับเสียงคนฟัง และตอบคำถามดีขึ้น พยายามจับ Keyword ให้ได้ แล้วมันจะพาเราไปสู่คะแนน  

และ Speaking part 3 คือช่วงหลังสุดในการสอบฟังของ IELTS โดยอาจารย์ที่มาสอบเรา เค้าจะให้เวลา 4-5 นาที ให้เราพูดแสดงความคิดเห็นถึงหัวข้อที่เค้าได้เลือกให้เรามา มักจะเป็นเรื่องที่สืบต่อการพูดคุยกันของ individual long turn ก่อนหน้านี้ เช่น ถ้าพูดเรื่องความประหม่าในการพูดหน้าชั้น การนำเสนอต่อหน้าห้องเรียน ช่วง two-way discussion ก็จะเป็นเรื่องเครื่องมือช่วยในการนำเสนอ (พวกแผ่นใส Projector powerpoint หรือกราฟแสดงข้อมูล) จำเป็นมั้ยที่ต้องมี แล้วจากนั้นพอเราตอบเค้าไป เค้าก็จะยิงคำถามกลับมา ในช่วงเวลา 4-5 นาทีนั้น เหมือนเรากำลังคุยกับเพื่อนเรา ที่เพื่อนเราจะมีคำถามตอบกลับมาว่า Why? Why not? Why do you think so? Isn’t another one is better? วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ สิ่งที่เราต้องมีคือ ไหวพริบในการตอบ และการพูดของเราว่าเราตอบตรงประเด็น และสื่อสารได้ในระดับไหน 

 

ขอบคุณเนื้อหาจาก  https://www.chulatutor.com/ielts.php และ http://www.unigang.com/ 

 

[ads=center]

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: