เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 ม.ค. ที่แปลงนาปลูกข้าว ใต้เขื่อนห้วยหลวง บ้านหัวขัว หมู่ 4 ตำบลเมืองเพีย อ.กุดจับ จ.อุดรธานี มี นายสมัย เงาศรี อายุ 56 ปี และนางคำปุน เงาศรี อายุ 55 ปี สองสามภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 42 หมู่ 2 ตำบลเมืองเพีย นำต้นข้าวมาซ่อมที่แปลงนาข้าวเหนียวที่ได้ปลูกไว้ เนื่องจากต้นข้าวถูกหอยเชอรี่ กินต้นข้าวไปบางส่วนทำให้ข้าวในนาเสียหาย
นายสมัย เปิดเผยว่า ตนกับภรรยา ทำนามาทั้งชีวิต 30 ปีเศษแล้ว ในนา 10 ไร่ โดยจะทำนาหว่าน ซึ่งจะปลูกข้าวทั้งนาปีและนาปรัง แต่เมื่อ 2-3 ปี ที่ผ่านได้ประสบภัยแล้งจึงหยุดทำนาปรัง ปีนี้น้ำในเขื่อนค่อนข้างมาก จึงกลับมาทำนาปรังอีก พื้นที่นาของตนเป็นที่ราบลุ่ม ที่ต่ำเหมาะสำหรับทำนาเท่านั้น ไม่สามารถปลูกพืชอย่างอื่นได้ ในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำท่วมขังตลอด ปีที่ผ่านมาปลูกข้าวนาปี ได้ผลผลิตข้าวเปลือก 200 กระสอบ เอาไปขาย 120 กระสอบ ราคา กก.ละ 10 บาท 80 สตางค์ ได้เงิน 35,000 บาท ข้าวเปลือกที่เหลือเก็บไว้กิน ถือว่าตนทำนาขาดทุน เพราะเนื่องจากต้นทุนในการปลูกข้าว สูง แต่ราคารับซื้อข้าวราคาต่ำ ซึ่งเป็นมาได้ 4-5 ปี แล้ว ทุกวันนี้ชาวนาที่กระดูกสันของชาติ ยิ่งทำยิ่งจนและเป็นหนี้
นายสมัย กล่าวต่อว่า สำหรับต้นทุนในแต่ครั้งที่ปลูกข้าวนั้น ประกอบด้วย ค่าไถปรับหน้าดิน ไร่ละ 300 บาท ค่าไถคราด ไร่ละ 400 บาท ก่อนที่หว่านเม็ดพันธ์ข้าว ค่าปุ๋ย ต้องใส่ถึง 2 ครั้ง เป็นเงิน 12,000 บาท และค่าแรงในการเกี่ยวข้าว อีก 8,000 บาท รวมเป็นเงินต้นทุนในการปลูกแล้ว 27,000 บาท ในการที่ตนเองทำนาหว่านต้นทุนการปลูกข้าวถูกที่สุด ถ้าเป็นจะการปลูกข้าวด้วยวิธีดำนานั้น ต้นทุนก็จะสูงมากกว่านี้ ทั้งนี้ก็อยากให้รัฐบาลให้ช่วยเหลือในการแก้ปัญหาในเรื่องราคาข้าวให้ด้วยชีวิตชาวนาอาจจะดีขึ้นกว่านี้ ทุกวันนี้ทำนาปลูกข้าว ขาวนาขาดทุนทุกปี ซึ่งตนคงไม่เปลี่ยนอาชีพทำอย่างอื่นหรอก เพราะอาชีพทำนาหรือกระดูกสันหลังของขาติ มันเป็นอยู่ในสายเลือด ทำมาตั้งแต่รุ่นสมัยพ่อแม่ ทุกวันนี้ที่อยู่ด้วย ต้องอาศัยลูกสาว ส่งเงินมาใช้ทุกเดือน ดังกล่าว
ข่าวจาก : ข่าวสดออนไลน์
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ