เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่สน.ประเวศ แขวงประเวศ เขตประเวศ น.ส.รัตนฉัตร แสงหยกตระการ อายุ 61 ปี และ น.ส.มณีรัตน์ แสงภัทรโชติ อายุ 57 ปี ผู้ก่อเหตุที่ใช้เสียมและขวานทุบรถกระบะที่จอดขวางประตูหน้า บ้านเลขที่ 37/208 ซ.ศรีนครินทร์ 55 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ เดินทางมาพร้อมกับนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ, น.ส.บุญศรี แสงหยกตระการ อายุ 65 ปี และน.ส.ยุวนุช พงษ์เจริญ อายุ 55 ปี
โดยเข้าพบ พ.ต.อ.อลงกรณ์ ศิริสงคราม ผกก.สน.ประเวศ และร.ต.ท.ศิริพงษ์ วรรณสัมผัส พงส.สน.ประเวศ เจ้าของคดี เพื่อเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา กับทางพนักงานสอบสวน โดยแต่เดิมน.ส.รชนิกร เลิศวาสนา เจ้าของรถที่โดนทุบแจ้งความไว้ทั้งหมด 3 ข้อหา คือ ในข้อหา “ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ข่มขู่ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวและพกพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต”
นายอนันต์ชัย กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับทราบข้อกล่าวยอมรับข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และปฏิเสธข้อหาข่มขู่ และพกพาอาวุธ เนื่องจากน.ส.รัตนฉัตร และน.ส.มณีรัตน์ ไม่ได้มีความผิดในข้อหานี้ เสียมและขวานที่ได้ก่อเหตุทุบรถนั้น ไม่ใช่อาวุธโดยสภาพเสียมและขวาน ที่น.ส.รัตนฉัตรและน.ส.มณีรัตน์ใช้นั้น เป็นเครื่องมือขุดนาของคนอื่น จึงไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นอาวุธเพื่อเข้าไปบุกรุก โดยน.ส.รัตนฉัตรและน.ส.มณีรัตน์ นั้นไม่ได้ใช้เสียมและขวาน ไปทำร้ายร่างกายใครจนได้รับบาดเจ็บ แต่ใช้ทุบรถเพื่อปกป้องสิทธิของตนเองที่สามารถทำได้ โดยสิ่งที่ทำอาจผิดไปบ้าง แต่เป็นการทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเอง
“โดยศาลให้ความคุ้มครองชั่วคราวกับทางคุณป้า โดยห้ามไม่ให้ใครก็ตามมาสร้างความเดือดร้อนให้กับทางคุณป้า เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ป้าจึงใช้สิทธิ์นี้ต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิ์ของตนเอง ซึ่งทางตลาดจะต้องดูแลรถที่เข้าออกบริเวณบ้าน เพื่อเมื่อไม่ให้จอดรถขวางทางเข้า – ออกบ้าน ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนจากตลาดของตน และในส่วนของข่มขู่นั้น ขอปฏิเสธข้อหาข่มขู่ เพราะดูจากในคลิปแล้วคุณป้าไม่ได้มีพฤติกรรมข่มขู่ เพียงแค่ตะโกนด่ากันเท่านั้น และเจ้าของรถก็ยังมีหน้าตายิ้มแย้ม ส่วนปฏิเสธข้อหาพกพาอาวุธ ทนายเอากฎหมายมาให้ดู บอกว่าขวานไม่ถือเป็นอาวุธ หากไม่ได้ใช้ประทุษร้ายร่างกาย หรือเจตนาประทุษร้ายร่างกาย” นายอนันต์ชัย กล่าว
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า น.ส.รชนิกรได้แจ้งข้อหาเกินจริง ตนจึงแนะนำว่าทางน.ส.รัตนฉัตรและน.ส.มณีรัตน์ สามารถแจ้งข้อหากลับได้ ซึ่งน.ส.รัตนฉัตรและน.ส.มณีรัตน์ จึงขอพิจารณาอีก 7 วัน ว่าจะแจ้งข้อหากลับกับทางพนักงานในข้อหาแจ้งความเกินกว่าเหตุ โดยหากคุณป้าประสงค์ที่แจ้งความกลับ ตนก็จะพามาแจ้งความกลับทันที
“ในพื้นที่ที่เกิดขึ้น ทางพ่อค้าแม่ค้าไม่รู้เลยว่าทำผิดกฎหมาย ซึ่งในพื้นที่นั้นไม่มีการอนุญาตให้ค้าขายแต่อย่างใด ถ้าหากต้องโทษจะต้องโทษบุคคลทั้ง 2 ฝ่าย คือ 1.เจ้าของตลาด 2.เจ้าของเขตที่อำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของตลาด ซึ่งนึกแต่ผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนกับคนในบ้านพัก ปรากฏว่าทางเขตได้ออกหนังสือเชิญชวนให้เจ้าของตลาดทั้ง 5 แห่งมายืนหนังสือขออนุญาติตลาดให้ถูกต้องตามกฎหมาย นั้นหมายถึง เรื่องดังกล่าวไม่เข้า พระราชบัญญัติจัดสรร ปี 2543 แต่เข้าคณะปฎิวัตรฉบับที่ 286 มีการบอกผังพื้นที่ชัดเจนว่าพื้นที่ตรงไหนควรสร้างตลาด ถ้าหากจะตั้งตลาดในบริเวณนี้ จะต้องไปแก้ผัง ซึ่งคนที่แก้ผังได้ คือคนที่ขออนุญาตจัดสรรเท่านั้น การที่ทางกรุงเทพมหานครมาแก้ผังไม่สามารถทำได้ โดยเมื่อมีข่าวออกมาและตลาดถูกปิดนั้น ทางคุณป้าไม่ได้มีเจตนาจะให้ผู้อื่นเดือนร้อน ไม่มีที่ทำมาหากินแต่อย่างใด ซึ่งคุณป้าเองก็กังวลและเครียดเช่นกัน
“อยากจะเตือนเขตถ้าหากว่าตลาดยังเปิดอยู่ในบริเวณนี้ คุณป้าจะรื้อคดีทั้งหมดไม่ว่าคนเก่าหรือคนใหม่ เมื่อตั้งตลาดตรงนี้ไม่ได้ก็อย่าดันทุรัง เพราะฉะนั้นอย่าไปเชิญพ่อค้าแม่ค้ามาเปิดตลาด เพราะไม่สามารถทำได้ อย่าเคาะกะลาให้หมาดีใจ อย่าทำแบบนี้เพราะผิดกฎหมาย” นายอนันต์ชัย กล่าว
ด้าน น.ส.บุญศรี กล่าวว่า อยากจะชี้แจงทางพ่อค้าแม่ค้าว่าต้นเหตุมาจากกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อยากให้หน่วยงานรีบแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและพ่อค้าแม่ค้า ให้ทำมาหากินในบริเวณที่ถูกต้อง คืนความสงบสุขให้กับหมู่บ้านของเรา นอกจากนี้ยังมีศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ เค้ามีพื้นที่อยู่ 18 ไร่ และพร้อมที่จะทำให้เป็นตลาดที่ถูกต้อง ถ้าพ่อค้าแม่ค้าไม่มีที่ทำกินก็ต้องไปติดต่อกับเค้าซึ่งเป็นพื้นที่ถูกต้องอยู่แล้ว และอยากเรียนบอกกับคนที่ว่าตัวเองเดือดร้อนคุณไป โดยการกระทำที่ตนทำดังกล่าว ยืนยันว่าถูกต้อง เพราะตนต้องรักษาสิทธิที่ถูกต้องตามชอบธรรม
“แม้ตลาดโดยรอบจะมีการปรับปรุง รื้อแก้ไขแล้ว แต่ชีวิตประจำวันของตนก็ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ เพราะโครงสร้างของตลาดยังอยู่ ซึ่งอาจมาจากการที่สำนักงานเขตออกประกาศชักชวนให้เจ้าของตลาดทั้ง 5 ตลาดมาเปิดให้ถูกต้องนั้น ตนก็ยังยืนยันจะคัดค้านต่อไป เพราะการเชิญชวนของเขตนั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากประเด็นแรกศาลปกครองสูงสุดพิพากษาในกรณีใกล้เคียงเช่นนี้มาแล้ว และประเด็นที่สอง ความชัดเจนของการขอจัดสรรที่ดินมันเป็นความชัดเจนที่ประชาชนทุกคนยึดถือตามสิทธิความชอบธรรมที่ได้รับ หาเงินไปซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้าน มันเป็นสิ่งที่ชอบธรรมเราจ่ายเงินเพื่อซื้อที่ดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย ย่อมที่จะได้สิทธิ์และใช้สิทธิให้ถูกต้องตามกฎหมายเช่นเดียวกัน” น.ส.บุญศรี กล่าว
ในส่วนของคู่กรณีที่มีการยอมความนั้นจะแจ้งความกลับหรือไม่อยู่ที่ทนาย การที่จะทำการอะไร หากอีกฝ่ายรู้จิตสำนึก มันก็สามารถที่จะพิจารณาอีกครั้ง แต่คนเราจะต้องมีจิตสำนึกตั้งแต่มีใบอนุญาตขับรถอยู่แล้ว ต้องให้เจ้าตัวมาที่สน.ประเวศ เราจึงจะทราบว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอย่างไรกับการกระทำเช่นนั้น หากไม่มีเจตนาตั้งใจตนก็อโหสิกรรมให้
โดยหลังจากที่เกิดเหตุก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก หมู่บ้านเสรีวิลล่าเลย แต่ได้รับจากกรุงเทพมหานคร คือบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ซึ่งตลอดเวลา 10 ปี ไม่เคยมี โดยหากมีแล้วก็อยากให้มีบิ๊กคลีนนิ่งกทม. เพื่อให้ประชาชนได้รับความสงบสุข เหมือนกับหมู่บ้านเสรีวิลล่าที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้
น.ส.รัตนฉัตรและน.ส.มณีฉัตร ขอชี้แจงว่าการที่ใช้ขวานและเสียมนั้น ไม่ใช้การนำมาเพื่อทำร้ายใคร การที่เราไม่นำขวานและเสียมไปตีใคร ก็แสดงชัดเจนแล้วว่า เราไม่ได้ผิด ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น แต่เราต้องการความชอบธรรม เนื่องจากมีคนมาปิดทางเข้าออกของตน ก็เลยต้องหาวิธีการจัดการเอง โดยยืนยันไม่ได้มีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้อื่น
ด้าน น.ส.มณีฉัตร กล่าวว่า ตนทราบดีว่าขวานที่ใช้ก่อเหตุนั้นไม่ใช้อาวุธ แต่ตนรักษาสิทธิของตน ตนอยากจะบอกว่า เจ้าหน้าที่รัฐรู้กฎหมายแต่ทำไม่ถูกต้อง ตนไม่เคยเป็นศัตรูกับใครและไม่เคยที่จะไปโกรธแค้นพ่อค้าแม่ค้า ถ้าหากบ้านของคุณตลอด 24 ชั่วโมง มีรถเข้าออกตลอดคุณจะทำอย่างไร แต่วันนั้นมันเหลือทนจริงๆ ตอนใช้ทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหา แต่คุณก็ยังเพิกเฉย ไม่สนใจ อยากฝากถึงหน้วยงานของรัฐ ตนเองเป็นผู้รักษากฎหมาย ใช้กฎหมาย ดูแลกฎหมาย อย่าชี้นำให้ประชาชนทำผิดกฎหมายแล้วมาหาผลประโยชน์ โดยการทำผิดกฎหมายที่พวกคุณปล่อยปะละเลย นี่คือความเดือดร้อนของประชาชน บ้านเมืองเราเดินไม่ได้ หากมีหน่วยงานของรัฐทำตัวแบบนี้
“ขบวนการต่อสู้หากทุกคนอยากรู้ว่าสู้กันยังไง ลำบากแค่ไหน ก็รื้อได้เลย ขอเชิญนักวิชาการหน่วยงานของรัฐเข้าไปดูได้เลย แล้วท่านจะตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านหลังนี้ ในกรณีที่ทางเจ้าที่ตำรวจให้ข้อหาเกินเหตุ อยากจะฝากว่า ประชาชนธรรมดาอย่ากระทำอย่างนี้ถ้าคุณไม่ทราบข้อเท็จจริง และคุณแจ้งข้อกล่าวหาแบบนี้ มันส่งผลเสียต่อประชาชน โดยในตนนี้เราได้กำลังใจจากประชาชนที่ทราบข้อเท็จจริง และเค้าย่อมทราบว่าสิทธิความชอบธรรมอยู่ตรงไหน ไม่ต้องการให้ใครมาละเมิดหรือแม่แต่หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐก็ตาม ต้องใช้อำนาจที่ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้อำนาจที่ผิด ชักจูงประชาชนที่ไม่รู้กฎหมายไปทำผิด” น.ส.มณีฉัตร กล่าว
หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวป้าทั้ง 2 คนรับทราบข้อกล่าวหา สอบปากคำและพิมพ์มือ อย่างไรก็ตามทางป้าได้แจ้งความกลับทางเจ้าของตลาดและทางเขตประเวศในข้อหากระทำการข่มเหง คุกคามเดือดร้อนรำคาญใจอีกด้วย
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ