เปิดใจชีวิตที่ยังสู้! ‘ป๋าเทพ’เจ๊งมาหลายธุรกิจ ยังลั่นจะทำธุรกิจต่อ! ไม่อยากให้ลูกหลานทำงานบันเทิง หวั่นไม่ยั่งยืน-ไม่มีอะไรสืบต่อเหมือนธุรกิจ





 

บทสัมภาษณ์โดย : เส้นทางเศรษฐี

สำหรับเรื่องราวของป๋าเทพในวัย 69 ปี เล่าว่า ทำงานหนักมาตั้งแต่เด็กๆ ตอน ป.4 ทำงานกับหน่วยฉายหนังกลางแปลง ได้เงินค่าจ้างวันละ 5 บาท เคยได้พากย์การ์ตูน เคยเป็นกรรมกร กระทั่งปี พ.ศ. 2512 เข้าไปทำงานในวงดนตรี เพลิน พรมแดน ได้เจอกับ “เด่น ดอกประดู่” ให้มาเล่นตลกหน้าเวที ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2520 เริ่มมั่นใจว่ามีชื่อเสียง แยกมาตั้งคณะเองชื่อ “เทพเพชรธงจิ๋ม” เล่นตลกมาเรื่อยๆ รับงานในวงการบันเทิงหลายอย่าง จนปี พ.ศ. 2538 เลิกเล่นตลกตามคาเฟ่ แล้วหันมารับงานละคร ภาพยนตร์ ออกรายการในทีวีมากขึ้น

 

 

นอกจากบทบาทตลกแล้ว ป๋าเทพ บอกว่า โดยส่วนตัวบ้าทำธุรกิจมาก ตั้งแต่เด็กอยากเป็นนักธุรกิจ ไม่เคยคิดอยากอยู่วงการบันเทิงเลย ธุรกิจแรกที่ทำ คือ ร้านอาหารไทย แถวจังหวัดนนทบุรี เปิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เช่าตึกอาคารพาณิชย์ 2 คูหา ลงทุนล้านกว่าบาท สาเหตุที่เปิดร้านอาหาร เพราะเห็นคนอื่นทำเลยอยากลองทำบ้าง แต่พอได้ทำจริงๆ ปรากฏไม่ชอบ เปิดได้ไม่นานก็เจ๊ง

หลังจากที่ป๋าเทพได้ชิมลางธุรกิจแรก ป๋าเริ่มติดใจ หลังจากนั้นก็ทำธุรกิจอื่นๆ อีกเรื่อยมา กว่า 20 ธุรกิจ ซึ่งทุกธุรกิจที่ตลกผู้ชายคนนี้ทำล้วนแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ และไม่เข็ดที่จะลงทุน เพราะป๋าเทพถือคติว่า นี่คือความสำเร็จและความภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาเรียนรู้ ไม่ใช่ความล้มเหลวแต่ประการใด

 

 

ป๋าเทพ เล่าให้ฟังว่า “ผมเคยขายน้ำข้าวกล้อง ช่วงแรกขายดีแต่สินค้าไม่ผ่าน อย. เลยล้มเลิกไป ต่อมาเปิดร้านเสริมสวยควบคู่กับรับข้าวสารมาแบ่งขายถุงละ 5 บาท คิดว่าจะดี คนงานรายได้น้อยน่าจะชอบ แต่สุดท้ายไม่ได้กำไร ส่วนร้านเสริมสวยก็เจ๊ง เคยขายปุ๋ยก็เจ๊ง

ธุรกิจที่ป๋าเทพทำยังไม่หมดแค่นั้น ตลกสู้ชีวิต บอกต่อว่า เคยรับซื้อเศษเหล็ก เคยเปิดร้านขายอะไหล่รถยนต์ไม่ประสบความสำเร็จเพราะสต๊อกของไม่เป็น เคยไปซื้อตึกแถวมาเก็งกำไร สุดท้ายเจ๊ง ถูกฟ้องล้มละลายขึ้นโรงขึ้นศาล หันมาทำโรงงานเซรามิกสักพักสินค้าขายไม่ได้ก็เจ๊งอีก เปิดร้านขายอาหารตามสั่ง ลูกค้ารอนานเป็นชั่วโมง สุดท้ายก็เจ๊ง เคยไปหุ้นกับคนรู้จักเปิดร้านหมูกระทะ แบ่งกำไรไม่ลงตัว สุดท้ายถอนหุ้นออกมาเปิดร้านหมูกระทะของตัวเอง ค่าเช่า 200,000 บาท คนงาน 70 คน เปิดได้ 6 เดือน สุดท้ายเจ๊ง หมดไป 2 ล้านบาท

 

 

ปีนี้เตรียมสร้างโรงงานผลิตขนม–น้ำ ปั้น 2 แบรนด์ใหม่ ภายใต้เจ้าของเดิม 
ปี 2560 เทพ โพธิ์งาม ตัดสินใจเปิดร้านกาแฟบนพื้นที่ 50 ตารางวา และขายขนมเปี๊ยะกินคู่กาแฟ แต่ปรากฏขนมเปี๊ยะกลับขายดี เพราะแป้งบาง ไส้เยอะ ไส้ไม่หวาน สูตรนี้ได้มาจากโรงเรียนสารพัดช่าง จังหวัดสมุทรปราการ เรียกว่าขายดิบขายดี แต่ไม่วายสินค้าถูกลอกเลียนแบบ และเร็วๆ นี้เตรียมผุดสินค้าใหม่ ใช้ชื่อแบรนด์ “ซึนามิ” สารพัดเครื่องดื่ม หวังไกลไปขายทั่วโลก  “ผมชอบทำธุรกิจอาหารเพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ธุรกิจ เทพ โพธิ์งาม ที่คนรู้จักเยอะๆ คิดว่า เป็นน้ำข้าวกล้อง และขนมเปี๊ยะได้สูตรมาจากโรงเรียนสารพัดช่าง ตอนแรกคิดว่าจะขายคู่กาแฟ แต่ไปๆ มาๆ กลับขายดีทั้งแฟนคลับและลูกค้าชอบ เลยทำขายเป็นเรื่องเป็นราว ขายตามตลาดนัด เน้นออกงาน ออกบู๊ธ ผ่านไปสักพักเริ่มคุมรสชาติไม่ได้ ยอดขายตกลง แต่ปัจจุบันก็ยังทำอยู่”

 

 

ปัจจุบัน “ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ” ยังมีวางจำหน่ายอยู่ จุดเด่น คือ การละเมียดละไมบรรจงนวดแป้ง และปั้นด้วยมือ ป๋า บอกว่า แทบจะไม่ใช้เครื่องจักรเลย ยกเว้นการทำไส้และผสมแป้งยังต้องใช้เครื่อง มีพนักงานที่เสมือนคนในครอบครัวอยู่ด้วยกันมานานแล้ว 10 กว่าคน ขายตามตลาดนัด มีออกบู๊ธต่างจังหวัด แต่ยอดขายบางเดือนก็ยังขาดทุน

นอกจากขนมเปี๊ยะที่เปรียบเสมือนลมหายใจของป๋าเทพแล้ว ตลกสู้ชีวิตยังเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ 2 แบรนด์ นั่นคือ วิสาหกิจขั้นเทพ และ ซึนามิ

เลิกไม่ได้ ท้อไม่ได้ ภาระยังมี ภูมิใจแล้วที่ได้ทำ ทุกอย่างคือกำไรชีวิต

ภายในปีนี้ ป๋าเทพ บอกว่า จะร่วมกับนายทุนสร้างโรงงานที่จังหวัดราชบุรีใช้เป็นสถานที่ผลิตเครื่องดื่มและขนมภายใต้แบรนด์ “วิสาหกิจขั้นเทพ” เพื่อเตรียมจะส่งขายทั่วประเทศ เพราะแผนธุรกิจนับจากนี้คือ เปิดร้านจำหน่ายของฝาก ของที่ระลึกกระจายไปทั่วทุกภูมิภาค เน้นขายขนม ของกิน ให้ชาวบ้านในพื้นที่นำสินค้ามาฝากขายได้ สาขาแรกตั้งใจเปิดที่จังหวัดอุดรธานี งบลงทุนต่อสาขาราว 10 ล้าน

มีหลายคนบอกให้เทพ โพธิ์งาม เลิกทำธุรกิจ แต่เจ้าตัวยืนยันว่าจะไม่เลิกทำธุรกิจ จะเลิกได้ยังไง ชีวิตต้องสู้ต่อ เลิกไม่ได้ ท้อไม่ได้ มีอีกหลายชีวิตที่ยังรอคอยอยู่ ไหนจะครอบครัว คนงาน สัตว์ที่เลี้ยงไว้วัว 30 ตัว ไก่ สุนัข แมว มีหนี้สิน ซึ่งภาระทั้งหมดคิดแก้ปัญหาไปวันต่อวัน

“ผมเจอความลำบากมาหลายแบบ ส่วนมากจะคิดถึงสัตว์ก่อน เพราะลูกหลาน คนในครอบครัวก็ช่วยเหลือตัวเองได้ แต่สัตว์ หรือลูกหลานเล็กๆ ยังต้องดูแล ตอนนี้ที่ดินที่บ้านโป่งจาก 50 ไร่ ขายไปแล้วเหลือเพียง 20 ไร่”

แม้จะเป็นคนในวงการบันเทิง มีรายได้การจากเล่นตลกเดือนละกว่าครึ่งล้าน แต่ป๋าเทพไม่เคยสนับสนุนให้ลูกหลานเข้ามาทำงานในด้านนี้เลย เจ้าตัวให้เหตุผลว่า การแสดงไม่ยั่งยืน ยังไงก็ไม่เหมือนทำธุรกิจ ฉะนั้นเลยให้ลูกเรียนบริหารเพื่อสืบทอดธุรกิจ

 

 

“ก่อนจะจากโลกนี้ไป อยากทำอะไรไว้ให้ลูกหลาน เพราะงานในวงการบันเทิง ลูกหลานสืบทอดไม่ได้ และจากนี้ต่อไปก็ไม่คิดจะกลับไปรับงานแสดงแล้ว อยากทุ่มเทเวลาให้กับธุรกิจใหม่”

สำหรับความผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิต ป๋าเทพ บอกว่า มาจากการที่ฝันใหญ่เกินตัว ทำทุกอย่างเกินกำลังเกินไป ไม่ดูความพร้อมของตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม ชีวิตมนุษย์ต้องดำเนินต่อไป อย่าเอาเรื่องเก่ามาใส่สมอง ต้องคิดไปข้างหน้า จะเสียใจ หรือ เสียหายอะไรมากแค่ไหน อย่าจมปลักอยู่กับที่

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: