คะแนนภาษาอังกฤษโทอิค (TOEIC) ถือว่าเป็นอีกใบเบิกทางในการสมัครงานอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนดัง ๆ ที่ต้องการ หลายคนจึงพยายามไขว่คว้าสอบให้ได้อย่างน้อย 450 คะแนนขึ้นไป
ขอบคุณภาพอ้างอิงจาก : cututor
บางคนที่ไม่มีเงินติวสถาบันดัง ๆ ก็สามารถติวเองจากหนังสือและคลิปตามเว็บต่าง ๆ เฟซบุ๊ก Phanupong Thumnong ก็คือคนหนึ่งที่สามารถพิชิตคะแนนโทอิค 990 ได้ โดยที่เขาไม่ใช่มีโปรไฟล์การศึกษาเลิศหรูอะไรเลย ซึ่งเขาแบ่งปันประสบการณ์เมื่อวันที่ 1 ก.ค.61 ที่ผ่านมาว่า
เคยติด ร. 5 ตัวและอยู่ห้องบ๊วยตอนมัธยม
อยู่ม.6 ยังใช้ many/much ไม่เป็น
ตอนสอบเรียนต่อติดแค่อันดับสำรองทั้งป.ตรี และป.โท
จบจาก ม.ต่างจังหวัดและไม่มีคำว่า “เกียรตินิยม” ในใบปริญญา
แต่วันนี้ได้ TOEIC เต็ม
:::::::::: รีวิว TOEIC ฉบับได้คะแนน 990 ::::::::::
✅✅ อ่านตรงนี้ก๊อนนนน ✅✅
*******ประเทศไทยยังใช้ข้อสอบแบบเดิมจ้า**********
*****มีการคาดการณ์ว่าจะเริ่มใช้ TOEIC แบบใหม่ปีหน้า******
****แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันจากศูนย์สอบเด้อ*********
– ผมเคยรีวิวข้อสอบ TOEIC ไปแล้ว 2 ครั้งตามลิ้งค์ด้านล่างครับ
รีวิว TOEIC รอบ มิ.ย. 60 >> https://goo.gl/9djDRr
รีวิว TOEIC รอบ พ.ย. 60 >> https://goo.gl/adaUR8
- ครั้งนี้เป็นการสอบครั้งที่ 6 ของผม คะแนนสอบ 5 ครั้งก่อนหน้า 775, 935, 920, 950, 960 ตามลำดับ
- ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้สอบรอบพิเศษคือเวลา 16.00 น. ซึ่งพบว่าไม่โอเคเลย เนื่องจากเป็นข่วงคาบเกี่ยวของมื้อเย็นพอดี
- ส่วนตัวแนะนำช่วงเช้าครับ เพราะเราเพิ่งตื่นทำให้สมองยังไม่ถูกนำไปใช้ทำอะไรอย่างอื่น
- เนื่องจากเคยพูดถึงจำนวนข้อและสัดส่วนของข้อสอบ รวมทั้งเทคนิคการเลือกข้อทำก่อนหลังไปในคราวก่อน ครั้งนี้จึงขอข้ามนะครับ
✅✅ รอบนี้ออกอะไรบ้าง??? ✅✅
✅ Listening
– สอบคราวนี้ผมนั่งนับคำถามที่ออกใน Question-Response มาฝาก
เจอ WH-question ทั้งหมด 15 ข้อ
เจอ Yes-no question ทั้งหมด 11 ข้อ (เจอ question tag 1 ข้อ)
อีก 4 ข้อที่เหลือเป็นคำถามประเภท offer, request และ opinion
เทคนิคการทำพาร์ทยังคงใช้สูตรเดิมคือ 75% ข้อคำตอบจะไม่มีคำที่ออกเสียงเหมือนหรือคล้ายกับคำถาม
เช่น ตัวอย่างคำถามที่ผมจำได้ “Where is the nearest appliance store?”
A. I live in an apartment. (ผิด… ข้อนี้ลวงเราด้วยเสียงคล้าย appliance-apartment)
B. Yes, I’ve been to that store. (ผิด… คำถามขึ้นต้นด้วย where ดังนั้นห้ามตอบ yes/no และมีคำซ้ำกับคำถามคือ store)
C. There’s one at the corner of Main Street. (ตอบข้อนี้… เพราะ Main Street คือชื่อสถานที่)
แต่! คำถามที่ให้เราเลือกระหว่างของ 2 สิ่ง เช่น “Would you like tea or coffee?” คำตอบสามารถมีคำซ้ำกับคำถามได้ เช่น “Tea would be lovely.” ครับ
สารภาพว่าจำ Photographs, Conversations และ Short talk ไม่ได้เลยเพราะตอนนั้นหิวข้าวมาก T T แนะนำให้อ่านรีวิวคราวก่อนครับเพราะที่รอบๆ ก็เหมือนๆ เดิมครับ
✅ Reading
– Part 4 & 5: Incomplete sentence & Text Completion
สอบกี่รอบสัดส่วนก็คล้ายๆ เดิมครับ ดังนี้…
…เจอเรื่อง Part of Speech/Family word ทั้งหมด 13 ข้อ (เช่น creative/creatively/creativity/create)
…เจอคำถามวัดความรู้เรื่องคำศัพท์ 11 ข้อ (ส่วนใหญ่เป็น context clue (เดาความหมายจากบริบท) มีประมาณ 3 ข้อวัดเรื่อง collocation (เช่นมีข้อหนึ่ง ในโจทย์มีคำว่า vote และตัวเลือกที่ให้มามีคำว่า unanimously (เป็นเอกฉันท์) เราก็ตอบข้อนี้ทันทีเพราะ 2 คำนี้มักเขียนเป็น collocates กัน )… ใน 11 ข้อนี้มีประมาณ 8 ข้อที่เป้นคำศัพท์แบบ common คือคำศัพท์เจอบ่อยในการทำงานหรือชีวิตประจำวัน และอีก3 ข้อคำที่เป็น low-frequency words)
…เจอ Linking words ทั้งหมด 7 ข้อ (การทำโจทย์แบบนี้เราต้องมองโครงสร้างของ clause [S+V] ในประโยคให้เป็น และจำให้ได้ว่าความเชื่อมแต่ละคำเป็นชนิดไหนระหว่าง conjunction หรือ adverb expression หรือ preposition เพราะทั้ง 3 ตัวนี้ส่งผลต่อโครงสร้างประโยคต่างกันครับ (เร็วๆ นี้ผมจะ live สด สอนเรื่องนี้โดยเฉพาะเพราะหลายคนใช้คำเชื่อมแบบผิดๆ กันเยอะ Stay tuned!)
…เจอเรื่อง verb ทั้งหมด 5 ข้อ มีทั้ง Subject and verb agreement, tense, voice มาครบเลยครับ
…เจอ Pronoun 2 ข้อครับ (เท่าที่จำได้ ข้อแรกให้เลือกระหว่าง he/his/him/himself และอีกข้อ me/him/them/us)
…เจอ relative pronoun 1 ข้อ (who/whom/whose/which)
…เจอ adverb 2 ข้อ (ใครอยากแม่นเรื่อง adv. แนะนำให้ศึกษา adverb ทั้ง 5 ชนิด manner, place, time, frequency และ intensity เน้นๆ หนักว่าแต่ละกลุ่มวางไว้ตรงไหนของประโยค)
…รอบไม่เจอ subjunctive, if clause, comparison
✅ Reading Comprehension
…สำหรับ single passages (ข้อ 153-180)
รอบนี้อ่านตาแตกครับมีบทความทั้งหมด 9 เรื่อง เป็นจดหมายและอีเมล์ไป 5 เรื่อง!!!!
ตัวหนังสือล้วนๆ ไม่มีภาพ ไม่มีตาราง ไม่มีแผนภูมิช่วยผ่อนคลายความเครียดระหว่างสอบเลย
ที่สำคัญ 4 ใน 5 บทความนี้ขึ้นต้นคำถามแรกด้วย “What is the main purpose of the passage?” อีกแล้ว
เทคนิคสำหรับการทำคำถามแบบนี้นะครับ… สำหรับ 2-3 บทความแรก คำตอบของคำถามนี้อยู่ที่ประโยคแรกของย่อหน้าที่ 1 ครับ
แต่ถ้าเป็นบทความหลังๆ (ประมาณข้อที่ 170 เป็นต้นไป) main purpose ของจดหมายอาจจะซ่อนอยู่ที่ประโยคสุดท้ายหรือย่อหน้าที่ 2 เลยด้วยซ้ำ
…สำหรับ Double passages (ข้อ 181-200)
สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจคือ ทุกๆ คู่บทความจะมี 5 คำถาม และ 4 ใน 5 คำถามนี้สามารถหาคำตอบได้จากการอ่านเพียงบทความใดบทความหนึ่ง อีก 1 ข้อที่เหลือจะต้องใช้ข้อมูลจากทั้ง 2 บทความ รอบนี้ผมจำบทความได้ครบทุกคู่เลย เย้!!!
คู่ที่ 1 Tour package & E-mail (บทความบนเป็นใบปลิวโฆษณาทัวร์เที่ยว 4 ตัวเลือก แต่ละตัวเลือกบอกรายละเอียด จำนวนวัน และของฟรี ส่วนอีเมล์เป็นลูกค้าส่งมาเพื่อต้องการจอง)
…โจทย์ที่ต้องหาคำตอบจากทั้ง 2 passage คือ “What will Ms. XXX probably get free of charge? ” (คนส่งอีเมล์น่าจะได้รับอะไรฟรีๆ ….ในใบปลิวระบุของฟรีไว้ 2 อย่างคือ
“ส่วนลด 15% เมื่อจองทัวร์ภายในมกราคมปีหน้า” และ “ถุงกันน้ำ เมื่อจองทัวร์ภายในสิ้นเดือนตุลาคม“ …ในอีเมล์ระบุว่าส่งไว้วันที่ 16 December นั่นแสดงว่านางจะได้แค่ส่วนลด)
คู่ที่ 2 Email & Enclosure (อีเมล์จากร้านขายหนังสือเชิญนักเขียนมาที่ร้านเพื่อจะได้จัดงานแจกลายเซ็น และ enclosure (เอกสารแนบพร้อมอีเมล์) เป้นรายละเอียดที่ตั้งของร้าน รวมทั้งยอดขาย รายละเอียดที่ทางร้านจะจัดการให้หากนักเขียนมาที่ร้าน)
คู่ที่ 3 Memorandum & Schedule (อันแรกเป็นบันทึกข้อความถึงพนักงานว่าจะมีการปรับปรุงออฟฟิศใหม่ ให้พนักงานเก็บของใช้ตัวเองไว้ที่ห้องเก็บของชั่วคราว อีกอันเป็นกำหนดการว่าพนักงานคนไหนจะต้องเก็บของก่อนวันไหน)
คู่ที่ 4 Article & Email (อันแรกเป็นบทความหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการย้ายสำนักงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนอีเมล์เขียนโดยหัวหน้าแผนกเขียนหาฝ่ายจัดการของบริษัทเกี่ยวข้องกับรายละเอียดการย้ายของแผนกตัวเอง)
…โจทย์ที่ต้องหาคำตอบจากทั้ง 2 passage คือ “What department does Ms.XXX probably work for?” (คนส่งอีเมล์น่าจะอยู่แผนกไหน…. ในอีเมล์ไม่มีแผนกของคนส่งระบุไว้ บอกไว้แค่ว่าจะย้ายวันที่ 3 พฤษภาคม เราจึงต้องไปอยู่ในบทความ และพบว่าในบทความระบุไว้ว่าแผนกบัญชีย้ายวันที่ 2 ส่วนแผนกการตลาดย้ายวันที่ 3 คำตอบจึงเป็น Marketing Department)
✅✅ จับไต๋ข้อสอบ ✅✅
1 ในสิ่งที่ผมอยากเตือนทุกคนเอาไว้คือ
ข้อสอบ TOEIC ออกแบบมาเพื่อวัดความเข้าใจของภาษาอังกฤษจริงๆ
ดังนั้นข้อสอบจึงมี distraction ไว้ลวง
คนที่คิดจะตอบจากการฟังหรืออ่านอะไรง่ายๆ
กล่าวคือ…
30% ของข้อสอบช่วงแรก (ทั้งฟังและอ่าน) มีคำตอบตรงกับสิ่งที่เราได้ยินหรือเห็น
เช่น
Question-Response จากทั้งหมด 30 ข้อ
ประมาณ 10 ข้อแรกจะง่ายมาก ใน 3 ตัวเลือกจะไม่มีตัวลวงเลย
แต่พอเข้าข้อที่ 11-20
คำตอบจะที่ถูกต้องเริ่มไม่เป็นไปตามที่เราได้ยิน
และเริ่มมีตัวลวงประมาณ 1 ข้อให้เราสับสน
พอเข้าข้อที่ 21-30
โจทย์จะป่วนเราด้วยการผสมคำถามหลายๆ แบบ
และมีตัวลวง (เสียงคล้ายกับคำถาม) เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 ข้อ
หรืออย่างในข้อสอบ reading
ประมาณ 1-4 บทความแรกจะมีคำตอบตรงไปตรงมาตามบทความ
ตาเห็นอะไรในบทความก็หาตัวเลือกที่เป็นคำเดียวกันได้เลย
แต่พอเข้าบทความที่ 5 เป็นต้นไป ข้อสอบจะเริ่ม tricky (เจ้าเล่ห์)
คือคำตอบจะเริ่ม paraphrase ใช้คำไม่ตรงกับคำที่ปรากฏในบทความ
ในขณะที่ตัวเลือกที่มีคำตรงกับบทความก็ดันเป็นตัวลวง
เช่น
ในส่วนของ reading comprehension บทความอาจจะระบุว่า
“People aged over 65 pay less.” (คนอายุ 65 ปีขึ้นไปจ่ายน้อยกว่า)
แล้วคำถามคือ “What is true?” (ข้อใดเป็นจริง) และคำตอบคือ
“Senior passengers get special rates.” (ผู้โดยสารวัยชราได้ราคาพิเศษ)
เราจะเห็นได้ว่าข้อความในบทความกับคำตอบไม่มีคำซ้ำกันเลย
แต่มีความหมายตรงกัน
ส่วนตัวเลือกที่มีคำว่า People/aged 65/less ดันไม่ใช่คำตอบซะงั้น
ดังนั้นคนทำข้อสอบจึงต้องระวังให้มากทุกครั้งที่เราค่อยๆ ทำข้อที่เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เตือนตัวเองเอาไว้ว่าจำนวนข้อเริ่มเยอะข้อสอบก็จะเริ่มยากขึ้น ดังนั้น อย่าอย่าตอบตัวเลือกที่มีคำตรงตามบทความจนเกินไปในข้อหลังๆ นะครับ
✅✅ ชี้แนะการเตรียมตัว ✅✅
– หนังสือสำหรับอ่านเองที่ดีที่สุดยังคงเป็น Tactics for TOEIC ของ Oxford ครับ เสียงใน listening ของเล่มนี้คือเสียงเดียวกับตอนไปสอบเลย
ท้ายเล่มมี glossary รวบรวมคำศัพท์ที่ออกสอบบ่อยเอาไว้ จำพวกนั้นไปแหละ ถ้าจำได้หมดเอาไปโลด 650+ คะแนน
– หนังสือสำหรับการฝึกศัพท์เพิ่มเติมที่ดีที่สุดคือ Collocations In Use: Intermediate Level ของ Cambridge เล่มนี้เด็ดสุดเท่าที่ผมเคยใช้มาแล้วครับ ไม่ใช่แค่ TOEIC นะ เล่มนี้มีประโยชน์สำหรับทุกคนที่อยากเก่งศัพท์เลยครับ
– ถ้าเรายังฟังได้ไม่ถึง 30% ของภาษาอังกฤษ ยังไงก็ยากที่จะได้ 650+ คะแนนครับ (450+ ยังยากเลยครับ) แนะนำว่าการดู series ฝรั่งช่วยคุณได้ (บางที่แนะนำให้ฟังข่าว ผมก็ว่าดีนะ แต่ข่าวมันไม่บันเทิงไง) แต่อย่างไรก็ตาม โปรดดูแบบเสียงอังกฤษ+ซับอังกฤษดีที่สุดครับ
ทักษะการฟังของเราจะพัฒนาเร็วมาก (เร็วมากในที่นี้คือเห็นผลหลังจากฝึก 3-6 เดือน จากปกติ 1 ปีนะครับ … ไอ้คำโฆษณาประเภทพัฒนาการฟังได้อย่างก้าวกระโดดภายใน 4 สัปดาห์นี่ตอแหลครับ อย่าไปเชื่อ)
– แกรมม่าควรเน้นเรื่องไหนดี? ใครที่งงว่าคำเฉพาะตั่งต่างที่ผมพิมพ์ในโพสนี้คืออะไร (อะไรคือ S&V agreement?, อะไรคือ adverbial expression?) แนะนำให้เอาคำเหล่านี้ไปค้นใน youtube หรือ google เลยครับ มีคลิปสอนอยู่เยอะแยะมากมายฟรีๆ (แต่ถ้าดูแล้วไม่รู้เรื่อง มาติวกับผมได้นะ ฮ่า)
– อนึ่ง ผมไม่ใช่คนฉลาดมาตั้งแต่เกิด ผมไม่เคยไปเรียนเมืองนอก ไม่มีเพื่อนชาวต่างชาติที่ให้คุยทุกวันเพื่อฝึกภาษา แต่ Practice makes perfect. ครับ ยุคนี้เรามีอินเตอร์เน็ต ของฟรีๆ ดีดีมีเยอะ จงใช้มันให้เป็นประโยชน์ พิมพ์ๆ ไปเหอะ TOEIC test/TOEIC exercise เดี๋ยวก็มีแหล่งข้อมูลโผล่มาเป็นแสนๆ website ให้เราศึกษา อย่างไรก็ตามภาษาอังกฤษไม่มีสูตรสำเร็จ ทุกอย่างต้องใช้เวลาครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก : Phanupong Thumnong
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ