ขณะนี้หลายฝ่ายเริ่มถามหาความปรองดองท่ามกลางสถานการณ์ที่แต่ละพรรคเตรียมเข้าสู่การเลือกตั้ง วันนี้เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อพรรคเพื่อชาติ ประกาศเป็นพรรคเกาะกลาง สลายสีเสื้อ เปิดทางให้ทุกฝ่ายร่วมกันทำงานทางการเมือง
นาย ยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา ยอมรับว่าได้ปรึกษาหารือกับหลายฝ่าย เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้ง ควรมีพรรคกลางที่ทุกฝ่ายมาอยู่ร่วมกันได้เพื่อมองไปถึงอนาคต เป็นมรดกให้กับลูกหลานวันข้างหน้า ถึงแม้ส่วนตัวจะไม่ลงเลือกตั้ง แต่จะมุ่งมั่นหาแนวทางแก้ปัญหาให้กับประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวตรงกับแนวคิดของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ที่ได้พูดคุยกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และ อดีตพระพุทธะอิสระ ในเรือนจำก่อนหน้านี้แล้ว
ขณะที่พรรคประชาธิปปัตย์ ที่อยู่ในช่วงแข่งขันชิงผู้สมัครหัวหน้าพรรคคนใหม่ วันนี้ กลุ่มอดีต ส.ส.กทม.เดินทางมาให้กำลังใจนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ในฐานะผู้สมัครหมายเลข 1 พร้อมชูสโลแกน"Make My Mark"ส่วนหมอวรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้สมัครอีกคน สร้างสีสันด้วยการขึ้นแท็กซี่เพื่อไปพบรับฟังปัญหาแท็กซี่ที่จังหวัดนนทบุรี
นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ให้ข้อมูลผ่านทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ว่า ตนเองไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง และไม่สามารถทำอะไรที่อยู่เกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ แสดงความคิดเห็นประหนึ่งคนนอก เป็นกองเชียร์ได้ โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ โจทย์เราคือการใช้รัฐธรรมนูญ ปี 60 ไม่ใช่ปี 40 หรือ 50 เพราะฉะนั้นมันจะแตกต่างกันสิ้นเชิง นั่นหมายความว่า รวมกันเป็นพรรคเราอาจจะแพ้ แต่ถ้าแยกกันเราอาจจะชนะ
"ตามความคิดของผม พรรคเพื่อชาติ ถือเป็นพรรคที่เปิดกว้างให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่มีความสามารถในการขับเคลื่อนประเทศไทย ได้มีที่ยืนแสดงความสามารถ ซึ่งพรรคเพื่อชาติ มีความพร้อมถูกต้องสมบูรณ์ทางกฎหมาย แนวความคิดต่างๆ ของแต่ละฝ่าย ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยโดยแท้จริง โดยเพื่อนร่วมอุดมการณ์เหล่านี้ มีศักยภาพพอที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีได้ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับประชาชนคนไทย ร่วมกันต่อสู้เพื่อประชาชน เชื่อว่าความสามารถของบรรดาหมู่มิตรที่มีแนวคิดเหมือนกันจะสามารถผลักดันพรรคให้ตอบโจทย์ที่ประชาชนต้องการได้"
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ยืนยันชัดเจนว่า ตนเองไม่มีสิทธิ์เกี่ยวข้องกับการลงรับเลือกตั้ง และไม่มีบทบาทหน้าที่เกินเลยกว่ากฎหมายกำหนด ทุกอย่างที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นไปในแนวทางขอบเขตกฎหมาย ถึงแม้ลงไปเล่นการเมืองไม่ได้ ก็สามารถที่จะเป็นกองเชียร์ และร่วมแสดงความคิดเห็นในฐานนะคนที่มีแนวคิดไปในทางเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม ที่มีข่าวออกมาว่าจะมีการจับมือทำพรรคร่วมกัน ระหว่าง สนธิ พุทธะอิสระ และตนเองนั้น ไม่ได้เป็นความจริงแต่อย่างใด
"เป็นเพียงคำพูดที่เคยสื่อสารผ่านไปทางท่านยงยุทธ ติยะไพรัช ขณะต้องคดีอยู่ในเรือนจำ ก็ได้มีการพูดคุยกับบุคคลที่เคยเห็นต่างทางการเมือง เพื่อหาจุดที่ประเทศชาติจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งขอยืนยันว่า เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นที่สอดคล้องไปในแนวทางที่ดี ไม่ได้หมายความว่าเรา 3 คน จะมีการจับมือจัดตั้งพรรค ตามที่ข่าวเอาไปขยายตีความ"
ขณะที่ "นายยงยุทธ ติยะไพรัช" อดีตประธานรัฐสภา ให้ข้อมูลกรณีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อชาติ ให้ข้อมูลถึงเรื่องนี้ว่า หลักคิดตอนแรกคือ เราได้พูดคุยกันกับหลายคน ในนั้นมีคุณจตุพรด้วย มีเพื่อนที่เคยเป็นเสื้อเหลืองด้วย ว่าวันนี้เรามาถึงจุดนี้ เรามาได้ยังไง อันที่สอง ไม่มีเรื่องส่วนตัว ไม่ได้ไปรับเหมาเกลียดชังกัน หรือมีผลประโยชน์อะไร การยืนอยู่บนจุดและมองปัญหา มองคนละด้านกัน
"วันนี้ทำไมเราต้องให้คนอื่นเขามาบังคับให้เราดีกัน เราก็คุยกัน ทุกคนก็เห็นด้วย ผมพูดถึงท่านนายกทักษิณ ในฐานะที่ผมทำงานกับท่านเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ผมถามท่านทักษิณว่า มีใครมาคุยกับท่านหรือยัง ท่านบอก 12 ปี แล้วยังไม่มีใครมาคุยกับพี่สักคนเลย พี่แต่งตัวรอทุกวันนะ คำว่าคุยกัน ที่คุยว่าจะไม่เอาความผิดหรือยังไง คุณดนัย กับ คุณอมรรัตน์ ขึ้นศาลบ่อย เวลาศาลจะถามว่าคู่กรณีหรือพยานเคยมีความขัดแย้งหรืออะไรกันมาก่อนมั้ย ศาลจะถามอย่างนี้เสมอ ในเมื่อการยึดอำนาจเป็นรัฏฐาธิปัตย์มาเนี่ย ใครจะไปพูดว่าไปยึดอำนาจมาแล้วเค้าเป็นคนดี ก็ต้องมีข้อกล่าวหากัน ทีนี้พอบ้านเมืองเป็นปกติแล้วก็ต้องเข้าสู่กระบวนการที่ว่าคนกลางมาพิจารณา มารีวิวใหม่ รีไวส์ใหม่ บ้านเมืองมันถึงจะไปได้ วันนี้พอเป็นอย่างนี้ปั๊บเนี่ยใครจะไปอยู่ให้ตรวจสอบล่ะครับ ดังนั้นสังคมโลกเค้าถึงยอมให้มีการลี้ภัยอะไรต่างๆ อันนี้อาจจะแสลงใจนะ แต่ถ้าผมตอบคำถามไปจะเข้าใจนะ"
"อันที่สามนี่ก็คือเวลาเกิดสงครามกลางเมือง ชาวบ้านไม่ค่อยได้รู้เรื่องนะ มันเป็นความเห็นแต่ละด้าน คนเดือดร้อนคือคนกลาง ล้มหายตายจาก เวลาอเมริกาแซงก์ชั่นพม่าเพราะไม่เป็นประชาธิปไตย คนที่เดือดร้อนไม่ใช่รัฐบาลนะ เพราะเค้ากินอิ่มหมีพีมันกัน แต่ชาวบ้านเดือดร้อน พอมาถึงเมืองไทย พอสังคมแบ่งข้างกัน ผมขอพูดคำหยาบคำหนึ่งนะ ทำไมเวลามึงทะเลาะกันจะต้องมาบังคับกูว่ากูจะอยู่ข้างไหน แล้วทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถมีใจเป็นกลางอยากมีที่ยืนแต่เขาไม่มีที่ยืน เพราะต้องเลือกข้าง ที่จริงประเทศไทยติดกับดักแบบนี้มาสิบกว่าปี หลายครั้งเนี่ยมันต้องผ่านตรงนี้ คราวนี้สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้มันมี 2 สถานการณ์ คือ เอาทหาร กับ ไม่เอาทหาร คือ พรรคการเมือง"
นายยงยุทธ ติยะไพรัช กล่าวด้วยว่า ในส่วนที่ไม่เอาทหาร คือ ไม่เอากันด้วย ไม่ชอบกัน ทีนี้แหละมันก็เลยไปบีบบังคับหัวใจชาวบ้านว่าจะต้องเลือกข้าง เพราะถ้าเราแหกวงล้อมออกไป เรามีวุฒิภาวะในฐานะที่เป็นนักการเมือง ทำไมเราถึงไม่มีพรรคที่ทำให้คนทุกฝ่ายมาเดินอยู่รวมกันได้ เราจะได้มอบมรดกดีๆ ให้กับลูกหลานในวันข้างหน้า ไม่ใช่เป็นมรดกบาปที่มีแต่ความขัดแย้ง ซึ่งตนเองได้คุยกับคุณจตุพร ไปเยี่ยมคุณจตุพรทีไรก็เล่าให้ฟังว่า เจอพุทธะอิสระ เจอคุณสนธิ คุณสนธิไปศาลก็เจอกันนะก็กอดกัน ทั้งที่อะไรต่างๆ มันน่าจะพอได้แล้ว
"ก็บังเอิญ พรรคเพื่อชาติ เป็นพรรคที่ตั้งมานานแล้ว 5-6 ปี ชื่อไม่ได้สอดรับหรือจะไปมีเล่ห์เหลี่ยมว่า จะเป็นพรรคธรรมเพื่อชาติอะไร คนไปคิดตัดต่อ สนามข่าวก็ไปตัดต่อว่าผมไปพบท่านนายกทักษิณที่ฮ่องกง ผมยังไม่ได้ออกไปไหนเลย ผมดูว่าแนวคิดนี้ดีมั้ยแนวคิดที่ให้ทุกฝ่ายมารวมกันเป็นกลาง แนวคิดนี้มีจริง ผมเกี่ยวข้องคือ ผมสนับสนุนแนวทางนี้ แต่เนื่องจากผมยังไม่ได้ไปเป็นสมาชิกหรือไม่ได้ทำอะไร เดี๋ยวพรรคเค้าโดนยุบ หาว่าผมเป็นต้นเหตุ"
นายยงยุทธ บอกด้วยว่า พรรคเพื่อชาติ จัดตั้งมานาน 5-6 ปีแล้ว เป็นเรื่องของคนที่พูดคุยกันว่าเราน่าจะมีพรรคแบบนี้ สนับสนุนพรรคแบบนี้ดีมั้ย แนวคิดแนวทางแบบนี้มันก็เลยเป็นข่าว พอดีรุ่นน้องที่อยู่ในสนามข่าวบอกว่ามีชื่อตนเองเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย แต่ความจริงยังไม่ได้เข้าไป ส่วนคนที่จดจัดตั้งพรรค เท่าที่จำได้ก็มีสมาชิกที่อยู่สมุทรปราการ ซึ่งที่มาที่ไปพรรคนี้พูดง่ายๆ ว่า ตอนนั้นตั้งแต่ชื่อมันโดนใจ เราไปดูว่ามีพรรคอะไรบ้างที่เราน่าจะสนับสนุน ชื่อของพรรคเพื่อชาติมันโดนใจ
"ถ้าจะไปใช้กระบวนการสืบสวนว่าใครจัดตั้งพรรคคงไม่ถูก เพราะวันนี้เราไม่ได้สนใจว่าใครไปตั้งยังไง วันนี้เนื่องจากเวลามันจำกัด เราไปหาดูชื่อพรรคต่างๆ มีชื่อไหนบ้าง หลังจากนั้นผมก็ไปคุยกับคณะกรรมการบริหารชุดของพรรคนี้ว่าทำอะไรบ้างต่อไป ทำยังไงบ้าง ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคเพื่อไทย เพราะการจะจดตั้งไปเป็นสมาชิกซ้อนทำไม่ได้ โลจิกมันเป็นไปไม่ได้"
นายยงยุทธ บอกด้วยว่า คิดว่าจะเอาพรรคที่ชื่อว่า พรรคเพื่อชาติ มาเป็นพรรคที่ตอบโจทย์ความคิดของพวกเราที่หลอมรวมความคิดของคนหลายๆ กลุ่มเข้าด้วยกัน เลือกตั้งกันเสร็จก็ยังมีแบ่งข้างกันอยู่ ข้างของฝั่งทหาร กับคนที่เอาประชาธิปไตย แบ่งข้างของคนประชาธิปไตยที่ไม่เอากัน สุดท้ายก็จะทำให้คนมาเผชิญหน้ากันเหมือนเดิม ในส่วนของคุณจตุพร มีแนวคิดตรงกัน แล้วก็มีแนวคิดตรงกันว่าที่ผ่านมาเราสูญเสียอะไรกันไปมากแล้ว ถ้าเราไม่ยอมถอยกันและไม่ยอมมองเห็นปัญหา การเอาแต่เลือกตั้งเอาแต่จะเป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรี บ้านเมืองก็เดินต่อไม่ได้
"พรรคเพื่อชาติ ยังไม่ใช่พรรคเรา เป็นแนวคิด ต่อไปถ้ามีการประชุมก็จะเป็นชุดบริหารชุดใหญ่ ชุดสามัญประจำปีและการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรค ถ้าถึงวันนั้นงานต่างๆ มันลงตัว ผมก็คิดว่าวันนั้นก็จะได้เห็นว่ามันเดินยังไงต่อ วันนี้ถ้าผมพูดมันจะเกินเลยไป ส่วน พรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ ในสนามเลือกตั้งมันจะแย่งคะแนนกันเองหรือเปล่า วันนี้ยังพูดถึงพรรคอื่นไม่ได้ เพราะผมไม่ได้เป็นสมาชิกสักพรรค แต่แนวคิดเรื่องบ้านเมืองให้คนทุกฝ่ายอยู่รวมกันได้ เราไม่ได้เป็นสมาชิกสักพรรค จะไปยุ่งเกี่ยวอะไรก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะโดนยุบพรรคกันอีก"
ข่าวจาก : ข่าวช่อง 3, ไทยรัฐออนไลน์
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ