ปัจจุบัน คนหันมาทานอาหารคลีนกันมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในวัตถุดิบหลักที่ผู้คนนิยมนำมาใช้ในการประกอบอาหารคลีนกันมากขึ้นก็คงจะเป็น “เนื้อปลาแพนกาเซียสดอร์รี่” เนื้อปลาสีขาว น่ารับประทาน และเหมาะแก่การประกอบอาหารได้หลายเมนู แต่ก็มีกระแสโจมตีปลาชนิดว่า ความจริงแล้ว “เนื้อปลาแพนกาเซียสดอร์รี่” ก็ไม่ต่างอะไรกับ “เนื้อปลาสวาย” บ้านเราเลย ทำเอาคนที่เคยทานเนื้อปลาแพนกาเซียสดอร์รี่รู้สึกขยาด และพากันเลิกทานเนื้อปลาชนิดนี้กันไปยกใหญ่ ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ ต้องมาหาคำตอบไปด้วยกันค่ะ
[ads]
สายพันธุ์ปลา
คุณ วงศ์อร อร่ามกูล ผู้เชี่ยวชาญด้านประมง ได้ออกมาอธิบายความจริงถึงความแตกต่างของสายพันธุ์ปลาที่โดนพาดพิง โดยแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์หลักๆ ได้แก่
1. สายพันธุ์ปลาดอรี่ หรือมีชื่อเต็มว่า “จอห์น ดอรี่ (John Dory) มีปลาตัวนี้อาศัยอยู่ในท้องทะเลลึกของมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จะมีลักษณะเป็นปลาตัวกลมๆ อ้วนๆ เนื้อปลามีสีขาว รสชาติอร่อย และมีการนำเข้ามาขายในประเทศไทยมานานแล้ว ข้อเสียอย่างเดียวของมันคือ “ราคาเเพงมาก”
2. สายพันธุ์ปลาในกลุ่มแพนกาเซียสหรือปลาสวาย ปลาที่อยู่ในตระกูลนี้มีหลายชนิด เช่น ปลาบึก ปลาคัง ปลาเทโพ และปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ ซึ่งตัวหลังนี้จะมี เนื้อสีขาว รสชาติอร่อยใกล้เคียงกับปลาจอห์นดอรี่ แต่ราคาถูกกว่ามาก การที่คนจะเรียกมันว่า ‘ปลาแพนกาเซียสดอร์รี่’ ก็แลดูจะยาวเกินไป หลายๆคนจึงเรียกมันสั้นๆว่า “ปลาดอร์รี่” และถูกเรียกชื่อนี้ติดปากกันมาอย่างเนิ่นนาน
ประเทศไทยมีการนำเข้าปลากลุ่มแพนกาเซียสดอร์รี่นี้มาจากประเทศเวียดนามเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งปลาแพนกาเซียสที่นำเข้ามาสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่ BASA และ TRA ทำให้เกิดเป็นความสับสนในการเรียกชื่อปลา กลุ่มผู้นำเข้าจึงมีการพูดคุยกันถึงชื่อทางการค้าของปลาชนิดนี้ และตกลงใช้ชื่อสากลตรงกันว่า “แพนกาเซียสดอร์รี่” แต่ถ้าเรียกเป็นชื่อท้องถิ่นเราจะเรียกมันสั้นๆง่ายๆว่า “ปลาสวาย” นั่นเอง
คุณภาพเนื้อปลา
แม้ว่า “ปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ที่นำเข้าจากเวียดนาม” และ “ปลาสวายไทย” จะจัดเป็นปลาชนิดเดียวกัน แต่ปลาทั้งสองตัวก็มีความแตกต่างกันในด้าน “คุณภาพของเนื้อปลา” ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุผลของ “วิธีการเลี้ยง สภาพแวดล้อม รวมถึงอาหารที่ใช้เลี้ยง” ซึ่งจะส่งผลให้ลักษณะของเนื้อปลา สีสัน และกลิ่น แตกต่างกันออกไป
เหตุผลที่ปลาสวายที่เลี้ยงในประเทศไทยมักจะมี เนื้อสีเหลืองและไขมันมาก ก็เป็นเพราะปลาเหล่านี้ถูกเลี้ยงแบบ “ลดต้นทุน” โดยพวกมันจะได้รับอาหารที่เน้น “แป้งและไขมัน” ในปริมาณสูง และถูกเลี้ยงในบ่อขนาดใหญ่ที่อยู่กันอย่างหนาแน่น ทำให้เศษอาหารจากการให้อาหารปลาเกิดการเน่าเสียหมักหมมอยู่ที่ก้นบ่อ จนเกิดเป็นกลิ่นคล้ายกลิ่นโคลนติดที่ตัวปลา
หากประเทศไทยต้องการจะเลี้ยงปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ให้ได้เหมือนกับที่นำเข้าจากเวียดนาม จะต้องถ่ายน้ำให้สะอาดสม่ำเสมอ ประกอบกับการให้อาหารที่เหมาะสม ไม่มีไขมันมากเกินไป เพียงเท่านี้ก็จะได้คุณภาพปลาสวายที่มีเนื้อขาวชมพูเช่นเดียวกับปลาสวายเวียดนามแล้ว
คุณค่าทางโภชนาการ
ปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ จัดเป็นปลาน้ำจืดที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วน ทั้งกรดไขมันโอเมก้า-3 วิตามินบี 2 วิตามินดี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก สังกะสี ไอโอดีน และแมกนีเซียมด้วย
ไม่ว่าจะเป็นแพนกาเซียสดอร์รี่ ปลาสวาย หรือปลาสายพันธุ์ไหนๆที่สามารถบริโภคได้ ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น แต่อาจจะแตกต่างกันไปบ้างในเรื่องของลักษณะทางกายภาพ ความอร่อย หรือคุณค่าทางโภชนาการ ใครใคร่ทานแบบไหนก็ตามสะดวกเลยแล้วกันค่ะ แต่รู้ไว้เถอะว่าคุณไม่ได้ถูกหลอกหรอก
ขอบคุณข้อมูลดีดีจากhoax-thai.blogspot.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย ThaiJobsGov.com
[ads=center]
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ