แชร์ประสบการณ์ ออกจากงานประจำมาขายประกันกับแฟน สุดท้ายหมุนเงินไม่ทัน หนี้ท่วม ต้องกลับมาทำงานประจำอีกครั้งเพื่อใช้หนี้





ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ การทำงานเพียงงานเดียวอาจไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนจึงมักจะหาอาชีพเสริมทำควบคู่กับงานประจำกันไป เพื่อให้มีรายได้มากขึ้น เพียงพอกับรายจ่าย

หนุ่มล็อกอิน สมาชิกหมายเลข 2660282 ก็เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่างานประจำเพียงงานเดียวยังไม่ตอบโจทย์ชีวิตมากพอ ทั้งในแง่ของรายได้ และความกดดัน จึงพิจารณาอาชีพเสริมคือ “ขายประกัน” ไปด้วย ในเวลาต่อมาก็ลาออกมาทำประกันอย่างเต็มตัวพร้อม ๆ กับแฟน แต่ในที่สุดก็ค้นพบด้วยตนเองว่า ทั้งลักษณะงานและหนี้สินสร้างความกดดันเป็นอย่างมากให้กับเขาและแฟน จึงตัดสินใจกลับมาสู่งานประจำเหมือนเดิม และขอแชร์ประสบการณ์ของตนเองให้กับหลาย ๆ คนได้อ่าน เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนจะเลือกขายประกัน

กระทู้นี้เป็นการเขียนกระทู้ในมุมมองของผมเพียงแค่คนเดียว เป็นสิ่งที่ผมพบเจอในการลาออกจากงานประจำมาขายประกัน สิ่งที่ผมเจอบางคนอาจไม่เจอก็ได้ ขอให้ทุกคนที่ผ่านเข้ามาอ่าน ใช้บางสิ่งบางอย่างจากการเข้ามาอ่านในทางที่มันจะเป็นประโยชน์กับตัวเองนะครับ ส่วนไหนที่ไม่ดี ที่คิดว่าไม่น่าจะต้องพบเจอก็อ่านผ่านๆไปได้เลย

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2017 ตอนนั้นผมทำงานเป็นพนักงานประจำในระดับ Supervisor ในสายงานด้านช่าง เงินเดือนค่าตอบแทนต่างๆก็ถือว่าดีพอสมควร ตอนนั้นเงินเดือนอยู่ที่ 26,000 บาท แต่ได้เงินพิเศษจากการทำงานใน Site งานต่างจังหวัดเพิ่มอีก 16,500 บาท รวมรับต่อเดือนหักค่าประกันสังคมก็ประมาณ 40,000 นิดๆ มีรถกระบะให้ใช้วิ่งทำงาน+น้ำมันใน Fleed card ให้เติมได้ต่อเดือนอีก 13,000 บาท โชคดีนิดนึงตรงที่ว่า Site งานที่ผมได้ออกมาประจำอยู่ต่างจังหวัดนั้น เป็นจังหวัดบ้านเกิดผมพอดี

ตอนนั้นสำหรับผม งานค่อนข้างเครียดและปัญหาหนักพอสมควร พอมันประจำอยู่ต่างจังหวัดทำให้ไม่ได้มีการกำหนดเวลาทำงาน และงานก็เป็นงานที่ต้องดูแล Service ของลูกค้าตลอด 24 ชม. บางครั้งไม่ได้นอนเลยติดต่อกันหลายๆวัน หรือไม่ได้กลับเข้าบ้านมาอาบน้ำเลยเป็นอาทิตย์ๆ ก็มีบ้าง

ตอนนั้นตัดสินใจซื้อบ้านหลังนึง ผ่อนเดือนละประมาณ 14,000 บาท และผมมีงวดรถอยู่แล้วอีกเดือนละ 10,000 บาท รวมๆรายจ่าย Fix Cost ต่อเดือนประมาณ 25,000 บาท จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ นู่นนี่ เหลือกินเดือนละ 10,000 บาท ก็ถือว่าโอเคอยู่ในระดับนึง

นอกจากนั้นผมยังรูดบัตรเครดิตเพื่อซื้อของใช้ภายในบ้านไปหลายหมื่นอยู่เหมือนกัน

งานของผมมันก็หนักทั้งใช้แรงกาย และแรงสมองพอสมควร เพราะบางทีผมต้องรับ Load ของทีมงานด้วยเวลาทีมงานทำผิดพลาดมาลูกค้าจะตำหนิมาที่ผมก่อนเป็นอันดับแรก และผมต้องคอยตอบคำถามกับลูกค้าเรื่องที่ทีมงานไปทำผิดพลาดทุกๆอย่าง บางทีก็ต้องโดนหนังสือตักเตือนแทนทีมงานอยู่บ่อยๆ บางครั้งผมทนไม่ไหว ผมตำหนิทีมงานไป หัวหน้าผมก็จะเข้าข้างทางฝั่งทีมงาน(ซึ่งเป็นผู้รับเหมา) ตลอดทำให้ผมต้องเก็บความเครียดไว้คนเดียวอยู่พอสมควร

ผมทนทำงานไปเรื่อยๆ ได้ประมาณ 1 ปีมีครั้งนึงที่ผมจับได้ว่า ผู้รับเหมาของผมทำทุจริตบางอย่างต่อบริษัทผม ผมได้ตักเตือนกับทางผู้รับเหมาไป แต่หัวหน้าผมก็ยังคงเข้าข้างทีมงาน ทำให้ผมรู้สึกว่านั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายของผมต่องานประจำ

ช่วงนั้นพอดีกับที่ตัวแทนประกันชีวิตของผม (ผมทำประกันชีวิตไว้เล่มนึง) บังเอิญนัดผมออกไปทานข้าวในเย็นวันนึง ต้องบอกก่อนว่าผมค่อนข้างสนิทกับตัวแทนคนนี้พอสมควร ผมเป็นลูกค้ารายแรกของเค้าเราเลยสนิทกันเหมือนเพื่อนคนนึง พอกินข้าวไป ดิ่มเบียร์ไป ก็คุยกันไป จนผมก็เผลอเล่าเรื่องปัญหาในงานที่ผมเจออยู่ในเค้าฟัง

จากนั้นเค้าก็เลยชวนผมว่าให้มาทำงานกับเค้า ก็คุยกันไปหลายต่อหลายอย่าง ว่าขายประกันทำให้ชีวิตดีขึ้นยังไง โดยมีคำนึงที่น่าจะทำให้ผมตัดสินใจเพราะคำๆนี้ ว่าระหว่าผมกับเค้า ห้าปีที่ผ่านมา ชีวิตใครไปไกลกว่ากัน วันนั้นเค้าไม่มีรถขับ วันนี้เค้าขับเบนซ์แล้วนะ ส่วนผมชีวิตก็ดีขึ้นนะ แต่มันยังดีขึ้นได้มากกว่านี้อีก ไม่แน่ห้าปีข้างหน้าผมอาจจะมีเบนซ์เป็นของตัวเองก็ได้

ผมยังไม่ตัดสินใจโดยทันที ก็เอากลับมาคิด มาปรึกษากับแฟน แฟนผมเอนเอียงไปทางขายประกันไปแล้วล่ะ เหลือแต่ผมนี่แหละที่ยังคิดอยู่พอสมควร

ในช่วงนั้นงานประจำผมก็ตึงเครียดพอสมควร เนื่องจากพอผมมีปัญหากับทีมงานแล้วหัวหน้าผมก็เข้าข้างทีมงานอีก การทุจริตกลับกลายเป็นสิ่งถูกต้อง ผมกลายเป็นหมาหัวเน่าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมอึดอัดมาก จนมีวันนึงที่หัวหน้าผมขับรถมาหาผมที่ Site งานต่างจังหวัดเพื่อต่อว่าผมอย่างเดียวเลยสามชั่วโมง

ตอนนั้นผมระเบิดออกไปว่า ผมรักษาผลประโยชน์บริษัทนะ ทำไมผมถึงเป็นคนผิด พี่มีนอกมีในหรือเปล่า แต่ก็เท่านั้นเหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ หัวหน้าผมถึงกับตัดขาดบอกผมว่า มืงจะทำงานได้ยังไง ถ้ากูไม่ชวยมืง กูอยากรู้ว่ามืงจะไปได้ซักกี่น้ำ

ผมรู้สึกว่าผมพอแล้ว ไม่เอาแล้ว ปล่อยให้หัวหน้าผมที่นั่งกินเบียร์ไป ด่าไปพูดอยู่ฝ่ายเดียว ผมนิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่ออีก จนหัวหน้าผมคงด่าจนเหนื่อยแล้วมั้งก็เลยหยุด สุดท้ายผมก็เลยขอตัวกลับบ้าน ผมกลับบ้านมาด้วยความเครียดและเหนื่อยมาก คืนนั้นผมเลยตัดสินใจที่จะลาออกมาเพื่อจะไปขายประกัน จึงโทรไปบอกกับตัวแทนในคืนนั้น

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของอาชีพขายประกันของผม

ผมยังไม่ลาออกโดยทันที ผมไปสอบเป็นตัวแทนประกันก่อน สอบอยู่สองรอบจได้บัตรตัวแทนมา ตอนนั้นมีโครงการในบริษัทขายประกันโครงการนึง ที่จะยกระดับตัวแทนขายประกันให้สูงขึ้น (จากนี้ผมขอเรียกตัวแทนประกันผมว่าหัวหน้าทีมประกันนะครับ เพราะตอนนี้เค้าเป็นหัวหน้าผมแล้ว) หัวหน้าทีมประกันของผมจึงจะส่งผมเข้าโครงการนี้ด้วยซึ่งการสอบให้ผ่านเพื่อเข้าโครงการนี้ยากมากๆ ในความคิดผม ผมใช้เวลาทั้งหมดอ่านหนังสือ และไปสอบอยู่ทั้งหมด 8 รอบ แฟนผม 9 รอบ กว่าจะผ่าน สอบทั้งศูนย์สอบในจังหวัด และเดินทางมาสอบที่กรุงเทพ ซึ่งการสอบแต่ละครั้งจะเสียค่าสอบรอบละ 1,000 บาท

ผมหมดเงินไปเยอะพอสมควรกว่าจะสอบผ่านด่านแรก ยังมีด่านที่สองคือการสัมภาษณ์ ซึ่งก็ต้องเดินทางมากรุงเทพเพื่อมาสอบ และต้องใส่สูท ผมก็ต้องใช้เงินอีกทั้งซื้อสูท ซื้อรองเท้า ของทั้งผม ทั้งแฟน เพื่อที่จะได้ใส่เข้าไปสัมภาษณ์ ผมบอกตามตรงเลยเดือนนั้นทั้งการสอบข้อเขียน และสอบสัมภาษณ์ ผมก็รูปบัตรไปอีกหลายบาทอยู่เหมือนกัน

แต่สุดท้ายทั้งผมกับแฟนก็ผ่านทั้งสองด่านได้เข้าไปหนึ่งในโครงการ (ผมขอเรียกโครงการนี้ว่า AF แล้วกันนะครับ)

หลังจากผ่านการทดสอบ ได้เข้าโครงการแล้ว ก็ต้องไปเรียนในโครงการ AF ที่กรุงเทพอีกประมาณ 3 เดือน มันเลยมาถึงจุดที่ผมต้องลาออกจากงานแล้วล่ะ เพราะถ้าไม่ลาออกผมก็เข้าโครงการไม่ได้ ผมตัดสินใจเขียนใบลาออกจากงานประมาณเดือนตุลาคม 2017 และเข้าโครงการ AF ในเดือน พฤศจิกายน 2017

ตอนนั้นผมก็แทบไม่มีเงินเลย ที่จะมาใช้จ่ายเช่าห้องพักเพื่อมาเรียน ผมก็เริ่มจากกดเงินสดจากบัตรเครดิตก่อน กดจ่ายค่ากิน ค่าห้องพักรายวัน ค่าเดินทางทั้งจากบ้านมากรุงเทพ และเดินทางไปเรียน ตอนนั้นบอกตามตรงครับ ผมไม่รู้สึกดีเลยกับการมาเข้าบ้าน AF นี้แต่ก็เหมือนเราเลือกแล้วก็ลองเดินไปให้สุดก่อน

มาอธิบายเรื่องบ้าน AF กันซักนิดนึงนะครับ ว่าทำไมผมถึงต้องเข้าบ้าน AF นี้และยอมทุ่มเท อดทน สิ้นเปลืองเงินสอบกันตั้งหลายรอบนั่นก็เพราะว่า ถ้าเป็นตัวแทนที่เข้าโครงการบ้าน AF มันมีแผนรับรองเงินเดือนที่จะได้ 12 เดือน โดยในเดือนแรกๆ ต่อให้เราขายประกันได้น้อย แต่ถ้าถึงเกณฑ์เราก็จะได้รับเงินรับรองตามเรทที่เราขายได้ เอาง่ายๆคือขายน้อยแต่ได้เยอะ ซึ่งเอาจริงๆแล้วมันก็จะไปหนักช่วงเดือนหลังๆ อยู่ดีเพราะช่วงหลังๆมันกลายเป็นขายทบเงินเดือนแรกๆ กลายเป็นขายเยอะได้น้อยในเดือนหลัง ประมาณนั้น ซึ่งมันก็เหมาะกับการเริ่มขายอ่ะนะ คือขายแรกๆเราอาจจะขายไม่เก่ง พอหลังๆเก่งแล้วก็ปรับลดเป็นอัตตราค่าคอมจริงที่เราสมควรได้

นอกจากนั้นยังมีโบนัสล่อใจ คือถ้าในสามเดือนคุณขายได้เยอะถึงเกณฑ์ที่กำหนด รับเงินพิเศษอีก หกเดือนทำถึงเป้าก็ได้พิเศษอีก 12 เดือนทำได้ตามโครงการทั้งหมดก็ได้เงินพิเศษอีกก้อน แถมถ้าทำครบ 12 เดือนนอกจากได้เงินพิเศษแล้ว ยังจะทำให้คุณได้รับคุณวุฒิบางอย่างไปด้วย และได้เงินจากคุณวุฒินั้นอีก ได้คุณวุฒินั้นก็จะได้สิทธิไปต่างประเทศอีก คือฟังดูมันมีแต่ได้กับได้ใช่มั้ยครับ

หัวหน้าทีมประกันผมจึงผลักดันให้ผมเข้าบ้าน AF ให้ได้ โดยหัวหน้าทีมประกันของผมเองก็ได้รับโบนัสจากการส่งผมเข้าบ้าน AF อีกเหมือนกัน

กลับมาที่การมาเรียนของผม หลังจากที่ผมมาเรียนได้สองสัปดาห์แรก กลางวันผมไปเรียนพอเลิกเรียนผมก็ต้องพยายามหาลูกค้า นัดลูกค้าเพื่อขายประกัน ซึ่งตอนนั้นมันก็ยากมากๆ เหนื่อยมากๆ เงินในบัตรก็เริ่มใกล้เต็มวงเงิน ขายก็แทบขายไม่ได้ ไปเจอลูกค้าก็ใช้เงินอีก เงินก็เริ่มหมดลงเรื่อยๆ ไม่รู้จะทำยังไงดี

หัวหน้าทีมประกันผมก็เลยเสนอตัวให้ผมยืมเงินเพื่อมาเรียนและไปให้ลูกค้า โดยบอกอย่างใจดีว่า เอาไว้มีแล้วค่อยมาคืนนะ โดยผมยืมมาก่อนก้อนแรก 10,000 บาท เพื่อเป็นค่าที่พัก ค่ากิน ค่าเดินทางไปหาลูกค้า ค่าเดินทางไปเรียน

เงิน 10,000 บาท ใช้ไปไม่ถึง 2 อาทิตย์ก็หมดครับ โชคดีที่เดือนแรกผมกับแฟนเราขายถึงเกณฑ์พอดี เราได้เงินสองคนรวมกันมา 100,000 บาท ตอนนั้นแฟนผมดีใจมาก แต่ผมเองบอกตามตรงไม่เลย เพราะรายจ่ายที่มีมันแทบจะไม่พอด้วยซ้ำ เดือนนั้นจ่ายค่าบ้าน ค่ารถ ตัดดอกบัตรเครดิต และยังต้องซื้อ Ipad เพื่อสะดวกต่อการขาย (เวลาขายประกันได้ จะคีย์ข้อมูลลูกค้าใน App และต้องเป็น IOS เท่านั้น)

ได้เงินมา 100,000 นึง จ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างไป เหลือเงินแค่สองหมื่นกว่าบาท ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมก็คิดว่าเงินสองหมื่นนั้นเยอะมากสำหรับผม แต่ในการขายประกันคุณต้องเดินทางไปหาลูกค้า ต้องจ่ายค่าที่พัก จ่ายค่ากิน ค่า Support ลูกค้า ไปหาลูกค้าก็ต้องเลี้ยง ไม่ว่าจะขายได้หรือไม่ได้ก็ตาม สองหมื่นที่เหลือมา ก็หมดลงในเวลาสองสัปดาห์

ซึ่งตอนนี้ผมเรียนในโครงการมาได้เดือนกว่าแล้วครับ จะหยุดก็เสียดาย จะไปต่อก็ไม่มีเงินสุดท้ายก็เหมือนเดิมครับ ยืมหัวหน้าทีมอีก รอบนี้ผมยืมมาอีก 25,000 เพราะผมวางแผนว่าจะเดินทางไปพบลูกค้าหลายคนมาในต่างจังหวัด กะว่าต้องขายได้แน่ๆ

ในตอนนั้นหัวหน้าผมบอกว่า จะทำมาค้าขายก็ควรที่จะต้องใช้เบอร์โทรศัพท์ที่มันเป็นศิริมงคล ก็เอาเบอร์มงคลมาให้ผมกับแฟนเลือกและก็บอกอีกเหมือนเคยว่า มีแล้วค่อยเอามาคืน โดนค่าเบอร์มงตลไปอีกเบอร์ละ 10,000 บาทครับ

ตอนนี้ผมติดหนี้หัวหน้าทีมผมไปแล้วเกินครึ่งแสน

ผมเรียนในโครงการต่อจนเกือบจะจบเดือนที่สอง ขายประกันได้นิดหน่อย แต่ยอดยังห่างไกลมากจากเกณฑ์ที่กำหนด คือถ้าขายไม่ถึงเกณฑ์เราก็จะไม่ได้เงินนะครับ จะทบไปในรอบเดือนถัดไปแทน แต่ถ้ารอบต่อไปไม่ถึงอีกก็จะไม่ได้เหมือนกัน

ผมกับแฟนตัดสินใจใช้ช่วงสุดสัปดาห์จากการหยุดเรียนในโครงการ แทนที่เราจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด เราตัดสินใจไปหาลูกค้าแทน เดินทางเยอะมาก ไกลมาก และก็ใช้เงินเยอะมาก

จบสองวันเราใช้เงินหมดไปเกือบ 20,000 บาทในการไปพบลูกค้า แต่ขายได้ค่าคอมเพียงแค่ 1,200 บาท คือทุกคนที่ไปหาก็ต้อนรับเราดีมากนะครับ แต่ทุกคนก็ขอเวลาคิดดูก่อน เอาง่ายๆผมอาจจะพลาดเองที่ผมขายไม่เก่ง ปิดการขายไม่ลงเอง

จบเดือนที่ 2 ของการเข้าโครงการ เดือนนั้นเราขายไม่ถึงยอดกันทั้งคู่ ได้เงินรวมกันอยู่ประมาณ 30,000 บาท จ่ายค่าบ้าน ค่ารถ ค่าดออกบัตรเครดิต ค่านุ่นนี่ก็หมดแล้วครับ แทบไม่มีเงินเพื่อไปเรียนโครงการบ้าน AF ในเดือนสุดท้าย

ตอนนั้นเป็นช่วงปีใหม่ ผมกับแฟนเรามีเงินรวมกันทั้งบ้านอยู่ 300 บาท ผมบอกเลยว่าผมเศร้ามาก แค่จะพาแฟนไปกินหมูกระทะฉลองปีใหม่ยังทำไม่ได้เลย ผมมืดแปดด้านเลยครับ สองเดือนที่ผมทำชีวิตตัวเองมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง ผมน้ำตาตกในมาก ไม่กล้าร้องไห้กลัวแฟนจะเศร้าไปด้วย

และเมื่อไม่มีเงิน ปัญหาหลายๆอย่างที่ไม่เคยมี ก็จะมีขึ้นมา

ไม่ว่าจะเป็นผมกับแฟนเองที่เราทะเลาะกันบ่อยมาก จากที่ไม่ค่อยทะเลาะกัน พูดด่ากันด้วยคำหยาบคายทั้งๆที่เราไม่เคยทำ ผมคิดว่ามันเกิดจากความกดดัน ความเครียดจากการใช้ชีวิตของเรา ที่มันลำบากมากๆ ทุกข์มากๆ มันทำให้เราเริ่มทะเลาะกัน

ปัญหากับครอบครัว ผมเคยมีเงินส่งให้ที่บ้าน ให้แม่ ให้น้องใช้อยู่เรื่อยๆ ทุกๆครั้งที่เค้าโทรมาขอ มีก่อนหน้านี้น้องผมโทรมาขอค่าเสื้อนักเรียนของหลานชายผมแค่ 200 บาท ผมยังไม่มีเงินจะโอนให้เลย ซึ่งนั่นก็ทำให้ครอบครัวผมเริ่มผิดหวังในตัวผม และเริ่มด่าทอผมด้วยถ้อยคำรุนแรงทั้งๆที่ ทั้งชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้นเลย

เป็นการต้อนรับปี 2018 ที่หดหู่มากของผม แต่ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไง ก็ยังฝืนไปเรียนต่อโดยเริ่มขายของ ขายสมบัติที่พอจะมี โดยเริ่มจากการขายทองของผม ได้เงินมา 16,000 บาท แฟนผมขายกระเป๋าได้เงินมา 8,000 บาท เอาโทรศํพท์อีกเครื่องไปขายได้เงินมา 5,000 บาท รวมๆแล้วก็ประมาณ 30,000 บาท ก็เลยคิดว่า เอาว่ะไปเรียนให้มันจบหลักสูตร ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ค่อยว่ากัน

เดือนนั้นก็ไปเรียนจนจบหลักสูตร ด้วยเงินที่มีน้อยนิด ค่าที่พักที่เคยจ่ายเราก็ประหยัดด้วยการจอดนอนในปั้มในคืนวันอาทิตย์แล้วเช้าวันจันทร์ไปเรียน เพื่อที่จะได้ประยัดค่าที่พักไปได้ซักคืนนึง กินอย่างหยัด จ่ายอย่างประหยัด ไปหาลูกค้าเฉพาะที่จะไปได้เท่านั้น และผมจบเดือนมกราคมด้วยการ ขายประกันไม่ได้เลยซักราย

ชีวิตพังเลยครับตอนนั้น ไม่มีเงินจ่ายค่าบ้าน ค่างวดรถ ไม่เงินเลยแม้แต่จะกินข้าว ไม่มีเงินเติมน้ำมันไปหาลูกค้า โทรศัพท์โดนตัดโทรหาใครก็ไม่ได้ ไม่รู้จะไปทางไหนดี สุดท้ายผมยังโชคดีที่มีเพื่อนคนนึงให้ผมยืมเงินต่อชีวิตอีก 30,000 บาท

มาถึงตรงนี้ มันไม่ใช่แค่ว่าไม่มีเงินจ่ายแล้วแค่หาเงินมาจ่ายก็จบนะครับ ค่าบ้านดอกเบี้ยคิดเป็นรายวัน โดนปรับดอกเบี้ยจาก 3.5% ขึ้นเป็น 13.5% ด้วยในเดือนที่ไม่จ่าย นั้นหมายความว่าสมมติถ้าเดือนนี้ผมไม่จ่ายค่าบ้าน 15,000 บาท เดือนหน้าผมจะไปจ่ายทบเป็น 30,000 บาท เงิน 30,000 นี้อาจเป็นแค่ดอกเบี้ยทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ โดยไม่ได้ตัดเงินต้นเลยแม้แต่บาทเดียว

ผมได้เงินมา 30,000 บาท ผมต้องตั้งสติจะทำยังไงกับเงิน 30,000 ตรงนี้ ผมพยายามแล้วนะในตอนนั้นที่จะแก้ปัญหา แต่ดูเหมือนสิ่งที่ผมตัดสินใจทำมันไม่ได้แก้ปัญหาชีวิตไปได้เท่าไหร่เลย

ผมเลือกจ่ายค่าบ้านไปก่อน 15,000 ค่างวดรถ 10,000 บาท เหลือเงิน 5,000 บาท ไว้เพื่อกินเอาชีวิตรอดไปก่อน ผมพาแฟนทำผัดหมี่ไปขายหน้าโรงงาน ไปซื้อสัปปะรดมาปลอกขาย โดยหวังว่าแค่ได้กำไรสักสองสามร้อยเพื่อมาซื้อข้าวกินในวันต่อๆไป ก็พอคือผมไม่รู้จะทำยังไงจริงตอนนั้น

ผ่านเดือนกุมภาพันธ์เดือนแห่งความรักอย่างยากลำบาก อดอยากกันมาก ท้อกันมากทั้งผมและแฟนและนั่นยังไม่ใช่ที่สุดของความพังครับ

พอถึงเดือนมีนาคมผมไม่มีเงินเลยในการที่จะจ่ายสิ่งต่างๆทั้งค่าบ้าน ค่ารถ ผมก็ไม่รูจะต้องทำยังไง เจ้าหน้าที่ธนาคารก็มาทวงเงินถึงหน้าบ้าน บัตรเครดิตที่ได้แต่ตัดดอกในตอนต้นๆ ก็โดนหมายศาลมาถึงบ้าน นัดให้ไปไกล่เกลี่ย ผมผ่านเดือนนั้นมาด้วยการขายผัดหมี่ของแฟนไปวันๆ จริงๆ

เดือนเมษายน เป็นอีกเดือนที่ผมก็ยังไม่มีเงินจ่ายสิ่งต่างๆเป็นเดือนที่ 2 กล่องจดหมายหน้าบ้านเต็มไปด้วยจดหมายทวงหนี้ทั้งค่าบ้าน ค่างวดรถ ค่าบัตรเครดิต เราสองคนทั้งผมและแฟนเราแทบไม่พูดกันเลย อยู่กันแบบตึงๆ ไม่ทะเลาะ แต่ก็ไม่พูดกัน ส่วนครอบครัวผมก็สาปแช่งด่าผมกันอยู่ทุกวันแต่ผมทำเป็นไม่รับรู้ จนวันนึงแม่ผมพาลมาด่าแฟนผมด้วย ด่าแรงมาก ถึงพ่อถึงแม่เลย ผมตกใจมากเลยรีบพาแฟนหลบเข้าห้องนอนมาก่อน

ผมถามแฟนผมว่า อยากจะเลิกกับผมไปก็ได้นะ ผมไม่โกรธเลย ผมทำทุกอย่างพังเอง จะไปที่ไหนผมจะไปส่ง อย่ามาทนลำบากกับผมเลยเพราะผมยังไม่รู้เลยว่าจะเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ยังไง โชคดีของผมมากที่แฟนผมบอกกับผมว่า ถึงมันจะลำบากเราก็ต้องลำบากด้วยกัน เราเป็นคู่ชีวิตกันไม่ใช่หรอ

ผมอึ้งและจุกอกมาครับตอนนั้น ถามตัวเองว่าทำไมกุพาเค้ามาลำบากแบบนี้ กุทำอะไรลงไป จุดไหนที่กุผิดพลาดว่ะ

จากเหตุการณ์นี้ผมตัดสินใจพอแล้ว เราต้องพอแล้ว มันจะพังไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ผมเลยตัดสินใจบอกกับแฟนว่า โอเค เราไปทำงานกรุงเทพกัน ผมตัดสินใจให้แฟนผมยืมเงินเพื่อนเธออีก 20,000 บาท เพื่อใช้ในการย้ายกลับเข้ากรุงเทพ เป็นค่าห้องค่ากินต่างๆ เพื่อเอาตัวรอดไปก่อน

มาถึงตรงนี้ ผมมีหนี้ทั้งหมด

หัวหน้าทีมประกัน 55,000 บาท
ยิมเพื่อน 30,000 บาท
ค่าบ้านที่ขาดส่ง 54,000 บาท (+ดอกเบี้ย ณ ขณะนั้น)
ค่างวดรถ 25,000 บาท (+ดอกเบี้ย ณ ขณะนั้น)
ยืมเพื่อนแฟน 20,000 บาท
บัตรเครดิต 120,000 บาท (+ดอกเบี้ย ณ ขณะนั้น)

เวลา 5 เดือนที่ผมลาออกจากงานประจำโดยไม่วางแผนให้ดีก่อน ทำให้ผมมีหนี้ทั้งหมดประมาณ 300,000 บาท ติดแบล็คลิสต์ไป 3 ธนาคาร โดนหมายศาลส่งถึงบ้านอีกต่างหาก

ผมมาได้งานทำ หลังจากนั้นอีก 1 เดือนและทำงานปลดหนี้ต่างๆมาเรื่อย ตอนนี้งวดบ้าน งวดรถก็จ่ายจนเข้ารอบปรกติ ดอกเบี้ยบ้านปรับลดกลับมาเป็น 3.5% เท่าเดิม

ตอนหนี้ก็ทำงาน ค่อยใช้หนี้ไปเรื่อย เหลือหนี้อยู่ทั้งหมดประมาณ 155,000 บาท ก็คาดว่ากลางปีหน้าจะพยายามปิดหนี้ที่เหลือให้หมดให้ได้

จากสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมด ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำผิดพลาดคือ ผมประเมิณค่าใช้จ่ายในการออกมาทำงานขายประกันผิดพลาด และผมก็ไม่ประเมิณความสามารถในการขายของตัวเองเล ว่าผมไม่เหมาะกับงานขายเลยแม้แต่น้อย

ผมคิดว่างานขายประกัน ถ้าคุณจะทำจริงๆ คุณต้องพร้อม ต้องมีเงินเก็บ หรือไม่คุณก็ควรมีรายได้จากงานอื่นๆไปด้วย เผื่อว่าคุณขายไม่ได้ จะได้ไม่ตกอยู่ในสถาณการณ์เดียวกับผม ประเมิณรายจ่ายรายเดือนของตัวเองให้ดี ว่าจริงๆแล้วเรามีรายจ่ายเยอะแค่ไหน เราจะขายได้เพียงพอที่จะมาจ่ายสิ่งต่างๆเหล่านี้หรือไม่ เราจะขายได้เพียงพอกับค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่า Support ลูกค้าที่เราต้องไปพบเจอหรือเปล่า ต้องคิดตรงนี้ให้รอบคอบมากๆ อย่ามองเห็นแต่คนที่เขาขายแล้วสำเร็จร่ำรวย ให้มองคนที่เขาไปไม่ถึงฝั่งฝันด้วย ว่าเราเองก็อาจจะเป็หนึ่งคนในนั้นด้วย เผื่อใจไว้ด้วยก็ดี

ขออัพเดต แนวคิดของเรา หลังจากที่เราผ่านเรื่องต่างๆ นี้มาได้สักพักแล้วนะครับ

ในมุมมองผมต่ออาชีพขายประกัน ผมมองว่าทั้งงานขายประกันและงานประจำ มันมีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและไม่สำเร็จ ผมเป็นแค่คนนึงที่ไม่สำเร็จและมันเกิดจากความไม่พร้อมในด้านหนี้สิน ภาระค่าใช้จ่ายที่ผมมีอยู่แล้วก่อนมาขายประกัน บางคนที่ทำสำเร็จที่เขามีความสามารถที่เขาสำเร็จจริงๆ ก็มี ผมมองว่ามันไม่ใช่อาชีพที่ดีหรือแย่ไปกว่าการทำอาชีพอื่นๆ เป็นเพียงอาชีพๆนึง เท่านั้น

กับหัวหน้าทีม ผมมองว่าในวันที่เค้าช่วนผมเข้ามาในอาชีพ เค้าเพียงแค่หยิบยื่น “ทางเลือก” ให้ผม ส่วนคนที่เลือกคือตัวผมเอง ผมคิดในแง่ดีว่าในวันที่เค้าชวน เค้าก็คงไม่ได้หวังตั้งใจให้ผมต้องมาเป็นหนี้แบบนี้ เค้าก็คงอยากให้ผมขายได้ มีเงิน มีความสำเร็จอ่ะนะ และผมว่าเค้าก็ทำหน้าที่หัวหน้าทีมขายได้ดีมากคนนึง เพราะเค้าเองก็ให้ผมยืมเงินตั้ง 50,000 บาท ก็ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าเค้าคิดจะหลอกผมจริงๆ ผมว่าเค้าคงไม่เอาเงินมาให้ผมยืม คงปล่อยผมออกจากอาชีพไปตั้งแต่แรกแล้วครับ

สำหรับคนที่อ่านกระทู้นี้ อยากให้มองว่ามันเป็นประสบการณ์ของคนๆนึง ที่ผิดพลาดในด้านการวางแผนการเงินเป็นอย่างมาก อ่านเพื่อเป็นข้อควรระวังไว้ ว่ามันมีโอกาสนะ ที่มันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเจอ คนที่เข้าอาชีพมาแล้วขายได้ มีเงินเลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบายก็มีมากเช่นกันครับ

ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านกระทู้แรกของผมนะครับ

คลิกที่นี่เพื่ออ่านความคิดเห็นอื่น ๆ จากลิ้งค์ต้นเรื่อง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: