เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงภาพรวมการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ก่อนการประชุมสภาในวันที่สาม ว่า พอใจกับการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งตนรับฟังทั้งหมด สิ่งไหนดีก็จะนำไปบูรณาการ งบฯแต่ละกระทรวงได้มากน้อยลดหลั่นกันไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ ถ้ามีปัญหาเร่งด่วนก็ดึงงบกลางมาใช้ได้
ทั้งนี้ งบกลาง 4 แสนล้าน มองดูเหมือนจะมาก แต่เราใช้ในภาระต่างๆ จำนวนมาก ทั้งเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ยังไม่รวมถึงการช่วยเหลือน้ำท่วม การช่วยเหลือเกษตรกร ยืนยันว่าการใช้งบกลางไม่ได้ใช้จ่ายเรื่อยเปื่อย ทั้งนี้ การลงทุน หลายคนบอกว่าเอื้อประโยชน์ ซึ่งยอมรับว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะภาษีเราได้มาจากเขา จึงต้องสนับสนุนการลงทุน โดยยึดกฎหมายเป็นหลัก
“ยืนยันว่านายกฯไม่สนิทสนมกับใคร ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น จะให้สิทธิพิเศษใครไม่ได้ ทุกอย่างต้องผ่านการประมูล ซึ่งงบฯตรงนี้เรามีอยู่ 3 แสนกว่าล้านบาทก็ไปช่วยเสริม ไปช่วยเรื่องการลงทุนอย่างต่ำ 20 เปอร์เซ็นต์ตามที่กฎหมายระบุไว้ ซึ่งเราจัดสรรได้มากที่สุดในขณะนี้ จะเห็นว่า 20 เปอร์เซ็นต์ตรงนี้พร้อมลงทุน ทั้งเรื่องรถไฟฟ้า ขนส่งมวลชน รถไฟรางเดี่ยวในต่างจังหวัดซึ่งต้องทำให้ทั่วถึง เงินลงทุนทั้งหมดมาจากภาคเอกชน จากเดิมที่เป็นการลงทุนของภาครัฐอย่างเดียว โดยการกู้เงินก็จะส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปัจจุบันหนี้สาธารณะของประเทศอยู่ที่ 41 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่น่ากังวล หากมองตัวเลขอาจดูน่ากลัว แต่สูงตามค่าจีดีพี ไม่อยากให้มากังวลตรงนี้เพราะเรามีขีดความสามารถในการใช้หนี้ ส่วนหนี้ระยะสั้นอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ขณะที่หนี้ระยะยาวก็ผ่อนชำระไป เมื่อหาเงินได้มากขึ้น เราก็ผ่อนเงินต้น น่าจะกู้ใหม่ได้อีก 19 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดเอาไว้จะต้องไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ต่างประเทศมีหนี้สาธารณะ 200 เปอร์เซ็นต์ แต่เขามีขีดความสามารถในการผ่อนชำระ รวมถึงมีอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งของเราก็กำลังจะเดินไปตรงนี้ แต่ต้องใช้เวลา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยืนยันว่า ตนไม่ได้ขัดแย้งกับใคร ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ถ้ามาบอกว่ารัฐบาลไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันไม่น่าจะได้ ตนเกรงว่าประชาชนจะไม่เข้าใจ สิ่งสำคัญคือเราต้องสร้างการรับรู้ของประชาชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือ หากทุกคนเรียกร้องพร้อมกันทั้งหมด ไม่มีใครสามารถแก้ไขปัญหาได้ ปัญหาของประเทศเราติดอยู่ที่งบประมาณ และความเข้าใจของประชาชน บางอย่างก็ติดปัญหาด้านกฎหมาย ซึ่งตนโทษใครไม่ได้
ยืนยันว่าไม่ได้ทิ้งประชาชน อย่ามาแยกแยะว่ากลุ่มนี้รวย กลุ่มนี้จน เพราะคนรวยก็เสี่ยงในเรื่องการลงทุน ขณะที่รัฐบาลดูแลเรื่องการแข่งขันให้เท่าเทียมกัน ยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใคร และสิ่งที่ตนจะเตือนเพราะการพูดจาในสภาถูกถ่ายทอดไปสู่ประชาชน บางครั้งประชาชนไม่ได้รับฟังในสิ่งที่รัฐบาลชี้แจง เขาฟังสิ่งที่ฝ่ายค้านพูด ซึ่งฟังแล้วดูดีหมด ตนก็คิดว่าดีทุกเรื่อง แต่ต้องมาดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน
นายกฯกล่าวว่า ในส่วนของงบฯกระทรวงกลาโหม มีการกันไว้ 7-8 หมื่นล้านบาทเท่านั้น เพื่อเอาไว้ซื้อยุทโธปกรณ์ ซึ่งตั้งงบผูกพันและเป็นงบฯ ของกลาโหมเอง ไม่ใช่งบกลาง เว้นในกรณีจำเป็นเร่งด่วนที่เป็นข้อตกลงกับต่างประเทศ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีจำนวนน้อยมาก อีกทั้งต้องซื้อทดแทน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องทหารตามแนวชายแดนหลายแสนนายในพื้นที่ 5,000 กว่ากิโลเมตรทั้งทางบกและทางน้ำ หากเราไม่มีเรือที่ทันสมัยจะทำได้หรือไม่ เพราะเรือที่มีอยู่ใช้มากว่า 50 ถึง 60 ปีแล้ว จึงมีการผุพังบ้าง อย่าคิดว่ามีเยอะ แต่ต้องดูว่ามีความทันสมัยและทันสถานการณ์หรือไม่ ต้องคิดตรงนี้และต้องไปดูข้างในด้วย ซึ่งเราก็พูดไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของศักยภาพ รวมถึงเป็นเรื่องอำนาจการต่อรองที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน โดยเฉพาะวันนี้โลกมีความเปลี่ยนแปลง รอบบ้านเราก็มีกันทั้งหมด
นายกฯ กล่าวว่า จะมาบอกว่าเกษตรกรเขาไม่เดือดร้อนเขาถึงซื้อได้ เขาก็เดือดร้อนเหมือนเราแต่ก็ต้องทำ เมื่อเขามี เราไม่มี ศักยภาพของเราก็หายไปไหม ทั้งศักยภาพ ความเกรงอกเกรงใจ การเจรจาและการพูดคุย รวมถึงการรักษาความมั่นคงทางทะเลซึ่งสำคัญที่สุด ของพวกนี้มันแพงทั้งสิ้น เราพยายามหาเรือขนาดเล็กและต่อเรือเอง อย่างเรือที่ติดอาวุธก็มีราคาแพง หากต่อไปมีการกระทบกระทั่งทางทะเล อาจมีเรื่องเรือประมงมีปัญหากันยิงกัน เพื่อเห็นว่าเราคุ้มครอง จะบานปลายไม่ได้ ดังนั้น ยุทโธปกรณ์ของเราต้องทันสมัยพอสมควรให้ทันกับโลกวันนี้
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ