( 15 ม.ค. 63 )สำนักข่าวเอพี รายงานอ้างบทสัมภาษณ์จากบรรดานักวิเคราะห์ของสถาบันชั้นนำและธนาคารหลายแห่งที่คาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า เศรษฐกิจเวียดนามจะยังสามารถเดินหน้าเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากบรรยากาศทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ยังขาดความแน่นอนและยากจะคาดเดาได้ว่าจะสามารถสิ้นสุดยุติลงในเร็วๆ นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า เวียดนามน่าจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในระดับ 7% ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ขณะที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย หรือ เอดีบี ประเมินว่า เศรษฐกิจเวียดนามในปีนี้ น่าจะขยายตัวได้ที่ 6.5%
ความเห็นข้างต้นสอดคล้องกับรายงานของธนาคารเอชเอสบีซี ที่ประเมินว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2020 มีแนวโน้มจะพุุ่งขึ้นมาอยู่ในที่ 7% สูงกว่าเพื่อนบ้านในแถบอาเซียน อย่างฟิลิปปินส์ และเมียนมา เนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมบริการและการส่งออก หลังบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกหลายแห่ง อย่าง นินเทนโด แอ็ปเปิ้ล และกูเกิ้ล อยู่ในระหว่างการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังเวียดนาม เพื่อหนีผลกระทบจากสงครามการค้าที่ทำให้สินค้าที่ผลิตในจีนมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าในอดีตที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจเวียดนามยังได้อานิสงค์จาก ซัมซุง ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำจากเกาหลีใต้ ที่มีมูลค่าส่งออกจากเวียดนามสูงเกือบ 1 ใน 4 ของมูลค่าส่งออกรวมของประเทศ เนื่องจากทางซัมซุงได้ย้ายโรงงานมายังเวียดนามเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ตัวเลขส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ พุ่งขึ้นไปถึง 76% ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2019 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นาย หยุน หลิว นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในเวียดนามแตกต่างจากเพื่อนบ้านที่กำลังประสบปัญหาการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งสวนทางกับสถานการณ์ของเวียดนามที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตกำลังเติบโตอย่างสดใส และกลายเป็นกำลังสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพีของประเทศ คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 30% ควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวโตได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจเวียดนามจะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนหนึ่งก็อดออกโรงเตือนไม่ได้ว่า เวียดนามยังคงมีความเสี่ยงที่จำเป็นต้องเฝ้าระวังในช่วงเวลานี้ อย่างอัตราเงินเฟ้อที่กำลังพุ่งสูงขึ้น โดยเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เงินเฟ้อเวียดนามพุ่งขึ้นแตะระดับ 5.2% แล้ว ซึ่งเป็นอัตราการปรับเพิ่มขึ้นรายเดือนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2014 โดยสาเหตุหลักมาจากราคาเนื้อหมูที่แพงขึ้นจากกรณีการระบาดของโรคอหิวาต์หมูแอฟริกา
นอกจากนี้ อีกหนึ่งความเสี่ยงที่เวียดนามต้องเฝ้าระวังก็คือ แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำในเวียดนาม และราคาน้ำมัน ต้นทุนการผลิตสำคัญ ที่กำลังอยู่ในภาวะผันผวน จากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน ด้าน นายกาเร็ท ลิทเธอร์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก แคปิตอล อิโคโนมิกส์ เตือนอีกว่า การที่เวียนดนามทำการค้าเกินดุลเหนือสหรัฐฯ จากการส่งออกที่มากขึ้น อาจทำให้สหรัฐฯ ไม่พอใจและอาจพิจารณาหามาตรการตอบโตทางการค้าในอนาคตกับทางเวียดนามได้
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ