นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ กล่าวก่อนอภิปรายว่า ตนมาจากพรรคที่คน 6.3 ล้านคนเลือกและถูกยุบด้วยตุลาการศาล 7 คน จากนั้นอภิปรายต่อในประเด็นเศรษฐกิจที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ โดยมีใจความว่าเศรษฐกิจตอนนี้เป็นของนายทุน โดยนายทุนเพื่อนายทุน แม้จีดีพีไม่ได้ติดลบแต่ปัญหาเศรษฐกิจก็มีอยู่จริง อัตราการว่างงานและหนี้สินครัวเรือนตอนนี้แย่กว่ายุควิกฤติการณ์แฮมเบอร์เกอร์ เศรษฐกิจยุคนี้แข็งบนอ่อนล่าง ดังนั้นปัญหาตอนนี้มันจึงแก้ยาก คนรวยกับคนจนอยู่กันบนโลกคนละใบ จึงมองไม่เห็นความทุกข์
ขณะเดียวกันคำสัญญาว่ามั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืน ตามสัญญาของรัฐบาล คำถามคือใครบ้างที่ยังรู้สึกมั่นคง เด็กจบใหม่รู้สึกไม่มั่นคง คนวัยเกษียณยากจน เกษตรกรมีรายได้น้อยลงแต่หนี้สินเพิ่มขึ้น แม่ค้าพ่อค้าก็มียอดขายน้อยลง ข้าราชการหรือทหารผู้น้อยก็ไม่มั่นคง ดูจากเหตุการณ์ที่โคราช ถ้าไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน 1% ก็ไม่มั่นคง เพราะนโยบายของรัฐบาลเหมือนเอายาพาราให้คนเป็นมะเร็งใช้เงิน 5 แสนล้านบาท แต่นโยบายไม่มีประสิทธิภาพ คำถามต่อมาคือใครมั่งคั่งมากขึ้นสื่อต่างประเทศที่เชื่อถือได้นำเสนอว่า 5 ตระกูลเจ้าสัวในไทย 2.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นมาจาก 5 ปีก่อนกว่า 1 ล้านล้านบาท
ตนจึงตั้งคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์ให้หรือไม่ และคำถามสุดท้ายคือ ใครยั่งยืน การดำเนินนโยบายก็ละเลยปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้ตั้งคำถามได้ว่าตั้งใจละเลยสุขภาพของประชาชนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทุนหรือไม่ ปัญหาแรกคือ PM 2.5 จากการปลูกอ้อย ปีหนึ่งคนไทยตายเพราะมลพิษทางอากาศกว่า 5 หมื่นคน และ PM 2.5 ยังกระทบถึงเศรษฐกิจเสียหาย 5 หมื่นล้านบาท อีกทั้งการปลูกอ้อยยังใช้พาราควอตมากกว่าปลูกข้าว เป็นที่สงสัยว่านโยบายนี้ใครได้ประโยชน์
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ