5 มี.ค.63 นางเบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงานฉบับล่าสุดได้วิเคราะห์ความยากจนและแนวโน้มความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยจากสถิติอย่างเป็นทางการของภาครัฐ ว่า ระหว่างปี 2558-2561 อัตราความยากจนของประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 7.21% เป็น 9.85% หรือเพิ่มจาก 4,850,000 คน เป็นมากกว่า 6,700,000 คน ซึ่งความยากจนที่เพิ่มขึ้นในปี 2561 กระจายตัวอยู่ทั่วภูมิภาคใน 61 จังหวัดจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ
โดยภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีประชากรยากจนเพิ่มขึ้นมากกว่า 500,000 คนในแต่ละภาค ซึ่งจังหวัดที่มีอัตราความยากจนสูงสุด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ปัตตานี กาฬสินธุ์ นราธิวาส และตาก โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใกล้พรมแดน หรืออยู่ในพื้นที่ขัดแย้งในภาคใต้ และสามจังหวัดชายแดนใต้สูงสุดเป็นครั้งแรกในปี 2560 รายงานฉบับนี้วิเคราะห์ว่าความยากจนที่เพิ่มขึ้นเกิดขึ้นมาจากภาวะเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่แย่ลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
“ไทยมีอัตราการเติบโตของจีดีพีต่ำกว่าประเทศกำลังพัฒนา โดยปี 2562 จีดีพีไทยอยู่ที่ 2.7% ต่ำสุดในภูมิภาค การเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศอยู่ในระดับปานกลางทั่วภูมิภาค เนื่องจากการค้าโลกอ่อนตัวลงส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทย ภาวะภัยแล้งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยากจนที่สุด และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอยู่ในภาวะหดตัว นอกจากนี้ยังพบว่ารายได้ที่แท้จริงจากภาคเกษตรและภาคธุรกิจลดลงทั้งในกลุ่มที่อาศัยอยู่เขตชนบทและเขตเมือง”
อย่างไรก็ตามแม้ไทยมีตัวชี้วัดระดับสากลด้านความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในระดับดี เช่น การเรียนของเด็กปฐมวัย การมีน้ำใช้ มีสุขาภิบาลและมีไฟฟ้าใช้ที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน แต่ความเหลื่อมล้ำยังเป็นประเด็นสำคัญของไทยที่ความมั่งคั่งยังไม่ได้กระจายอย่างทั่วถึงไปสู่ประชาชนที่มีรายได้ต่ำ ซึ่งมีสัดส่วน 40% โดยปี 2558-2560 พบว่าประชากรกลุ่มนี้มีการบริโภคและรายได้ที่ติดลบ จากรายได้แรงงานทุกประเภทที่ลดลง การหยุดนิ่งของการขึ้นค่าแรงและรายได้จากภารเกษตรและธุรกิจลดลง
ดังนั้นรายงานฉบับนี้เรียกร้องให้ไทยมีมาตรการและการลงทุน เพื่อช่วยเปลี่ยนผ่านประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนในคนรุ่นใหม่อย่างเท่าเทียม เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของแต่ละคนได้อย่างเต็มที่ และช่วยให้ครัวเรือนหลุดพ้นจากกับดักความยากจนจากคนรุ่นก่อน ช่วยส่งเสริมกลุ่มประชากรสูงวัย และกระตุ้นโอกาสการเติบโตของประเทศ
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ