จากกรณีที่มีการแชร์เรื่องราวของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เรื่องราวของน้องสาว รวบรวมเงินกับเพื่อนๆ สั่งหน้ากากอนามัยร้านขายยา ที่นำเข้ามาจากประเทศเวียดนาม 25,000 ชิ้น ชั้นละ 14.50 บาท เพื่อนำไปบริจาคตามโรงพยาบาลที่ขาดแคลน แต่ถูกตำรวจเข้าตรวจค้นและยึดหน้ากากอนามัยไป ซึ่งมีการวิพากษ์จารณ์กันในโลกโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง
ล่าสุด พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. กล่าวว่า สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 63 ตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ตำรวจ ปคบ. ได้รับการประสานงานจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ว่าได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและชี้จุดไปยังร้านขายยาแห่งหนึ่ง ในเขตเตาปูน มีการจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินจริง จึงได้ร่วมกันเดินทางไปตรวจสอบ เมื่อเดินทางไปถึงเจ้าหน้าที่กรมการค้าภายในและตำรวจชุดจับกุม จึงติดต่อซื้อหน้ากากอนามัย ทั้งแบบธรรมดา และ เอ็น 95 คาร์บอน จำนวนหนึ่ง ตามราคาที่พนักงานขายสินค้า ตั้งราคาจำหน่ายไว้
จากนั้น เมื่อได้สินค้าเรียบร้อย จึงแสดงตนเข้าจับกุมพนักงานขายสินค้า พร้อมแจ้งความประสงค์ตรวจสอบหน้ากากอนามัยที่วางจำหน่ายอยู่ภายในร้านและที่เก็บอยู่ภายในร้าน โดยขณะนั้นมีผู้มาแสดงตนเป็นเจ้าของและเป็นผู้นำตรวจสอบ ผลการตรวจสอบ พบหน้ากากอนามัย จำนวน 15 ชนิด จำนวนทั้งหมด 21,639 ชิ้น ซึ่งเป็นสินค้าควบคุมมีไว้เพื่อจำหน่ายอยู่ภายในร้าน ประกอบกับ เจ้าของร้านค้า ได้แจ้งกับพนักงานเจ้าหน้าที่ ว่าสินค้าดังกล่าวเป็นของตนซึ่งมีไว้เพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไปจริงและได้จำหน่ายไปแล้วบางส่วน เจ้าหน้าที่ จึงแจ้งให้เจ้าของร้าน ทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน “จำหน่ายสินค้าที่ควบคุม (หน้ากากอนามัย) ในราคาสูงเกินควร” ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า สำหรับประเด็นที่ผู้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กดังกล่าวนั้น เป็นคนละประเด็นกันกับการจับกุมเจ้าของร้านค้าที่จำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคา ซึ่งผู้โพสต์อ้างว่าเป็นพี่สาวของผู้ติดต่อซื้อหน้ากากอนามัยกับทางร้าน แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจยึดไป โดยภายหลังได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน ว่า ทางเจ้าของร้าน และ ผู้ติดต่อซื้อหน้ากากอนามัย ดังกล่าว ได้ติดต่อขอคืนเงินที่สั่งซื้อหน้ากากอนามัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประกอบกับทาง พนักงานสอบสวนได้แนะนำให้ผู้ซื้อ เพื่อที่จะนำไปบริจาคนั้น ติดต่อซื้อหน้ากากอนามัยกับทางกรมการค้าภายใน เนื่องจากจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ในราคามาตรฐาน
จากนั้น ผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว ก็ได้ลบข้อความออกเฟซบุ๊กไปแล้ว จึงขอให้ประชาชนโปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟังข้อมูลจากทางโซเชียลมีเดีย โดยประกอบกับข้อมูลข่าวสารจากทางราชการ เพื่อป้องกันความสับสนและตื่นตระหนก ในส่วนหน้ากากอนามัยที่ตรวจยึดนั้น ในชั้นพนักงานสอบสวน ไม่สามารถดำเนินการคืน หรือ ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ เนื่องจากเป็นของกลางในคดีอาญา ซึ่งพนักงานสอบสวน ยังคงต้องรอคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด ก่อนที่จะให้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขอประณาม กลุ่มผู้ที่ฉวยโอกาส ในช่วงสถานการณ์แบบนี้ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการค้า ไร้ซึ่งคุณธรรมและจรรยาบรรณ นำหน้ากากอนามัยที่ใช้งานแล้วมาออกจำหน่าย หรือแม้แต่ ดัดแปลง สภาพ คุณภาพ หน้ากากอนามัย ฉกฉวยโอกาสจำหน่ายหน้ากากอนามันเกินราคา เอารัดเอาเปรียบประชาชน เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กำชับ ตำรวจทั่วประเทศ นอกเหนือจาก กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลัก ในการให้ความร่วมมือและประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สืบสวน จับกุม ปราบปราม อย่างเด็ดขาด มิให้มีผู้ใดฉวยโอกาสและซ้ำเติมพี่น้องประชาชนได้อีก
ทั้งนี้ หาก ประชาชน พบหรือมีข้อมูลว่าพื้นที่ใดมีการจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาที่สูงเกินสมควร สามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสได้ ที่ สายด่วน บก.ปคบ. โทร. 1135 หรือติดต่อทาง www.cppd.go.th หรือ สถานีตำรวจในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ.
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ