ตามหาด่วน 24 ราย ตรวจโควิด หลังสัมผัสหญิงไทยติดเชื้อที่จ.เลย-กทม.
ความคืบหน้ากรณีหญิงไทยที่เข้ารับการตรวจสุขภาพ เพื่อขอใบรับรองแพทย์ยืนยันการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในการเดินทางไปต่างประเทศ แต่ผลการตรวจพบสารพันธุกรรมเชื้อโควิด-19 นั้น เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี พร้อมด้วย นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป พญ.วลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา นพ.ชนเมธ เตชะแสนศิริ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี และ พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล ศาตราจารย์สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาคอายุรศาสตร์ ร่วมกันแถลง
นพ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า จะชี้แจงกรณีผู้ป่วยรายที่ 2 อายุ 35 ปี ที่เข้ารับการตรวจสุขภาพ และตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพื่อประกอบเอกสาร ก่อนจะเดินทางกลับไปทำงานที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ผลการตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดี พบสารพันธุกรรมไวรัสในปริมาณน้อย ต่อมาตรวจซ้ำอีก 2 ครั้ง ในวันที่ 19-20 สิงหาคม แต่ไม่พบสารพันธุกรรมโควิด-19 ซึ่งตรงกับผลตรวจของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมีการตรวจเสริมพิเศษด้วยการตรวจเลือด เพื่อหาภูมิคุ้มกัน พบว่า ให้ผลบวก มีความหมายว่า มีการติดเชื้อโควิด-19 จริง
“แต่ในเชิงวิชาการ คือบุคคลรายนี้เคยมีเชื้อตั้งแต่อยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จนถึงปัจจุบัน ล่าสุด ไม่มีอาการป่วยใดๆ แต่แพทย์ให้เข้ารับการสังเกตอาการที่โรงพยาบาล และจะต้องหาเชื้ออีกครั้ง รวมถึง การเพาะเชื้อไวรัส เพื่อสร้างความมั่นใจแก่สังคม ว่าตรวจพบสารพันธุกรรมปริมาณน้อย เป็นส่วนของไวรัส ไม่ใช่เป็นตัวไวรัส เพื่อให้มั่นใจว่าจะเป็นอันตรายต่อพวกเราหรือไม่ โดยทีมรักษาค่อนข้างมั่นใจว่า เป็นเพียงส่วนของไวรัส ซึ่งไม่ทำให้เกิดการติดต่อขึ้น” นพ.สุรศักดิ์ กล่าว
พญ.วลัยรัตน์ กล่าวว่า เมื่อทราบรายงานจากโรงพยาบาลรามาธิบดี ว่ามีผู้สงสัยว่าจะมีผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นบวก แม้จะพบสารพันธุกรรมน้อย แต่โดยระบบป้องกันควบคุมโรค จะต้องสอบสวนโรคเบื้องต้น จึงประสานไปยัง จ.เลย และสำนักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.) ที่รับผิดชอบ และประสานไปยังสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) เนื่องจากผู้ที่สงสัยติดเชื้อรายนี้มีประวัติในช่วง 3 เดือนย้อนหลัง ได้พักอยู่ที่ จ.เลย และ กทม.โดยประวัติของหญิงรายนี้ เมื่อเดินทางมาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเข้าในสถานกักกันโรค ตรวจหาเชื้อในสถานกักตัว 2 ครั้ง ไม่พบเชื้อ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม เดินทางกลับภูมิลำเนาใน จ.เลย โดยมีเพื่อนขับรถมารับ ผู้สัมผัสใกล้ชิด 5 ราย และส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ใน จ.เลย หลังจากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่คลอดลูกโรงพยาบาลปากชม มีผู้สัมผัสใกล้ชิด 6 ราย
“ต่อมาเมื่อวันที่ 12-13 สิงหาคม ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ใน จ.เลย ผู้สัมผัสใกล้ชิดเป็นเพื่อนรวม 3 ราย โดยยังไม่สามารถระบุชื่อร้านได้ ทั้งนี้ ผู้สัมผัสใกล้ชิดในส่วนที่อยู่ใน จ.เลย ทั้งหมดจะต้องตรวจหาเชื้อ โดยในวันนี้ จ.เลย และ สคร.ลงไปเก็บตัวอย่างแล้ว อยู่ระหว่างรอผล หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม เดินทางมา กทม.พร้อมพ่อ แม่ และเพื่อน โดยเข้าพักที่โรงแรม มีผู้สัมผัสใกล้ชิด 4 ราย คือ เพื่อน 2 ราย และแม่บ้าน 2 ราย ส่วนหนึ่งมีผู้อาศัยในโรงแรมในช่วงเวลาเดียวกัน 104 ราย แต่การสอบสวนโรคไม่ถือว่าเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม หากประชาชนกังวล สามารถเข้ามาตรวจหาเชื้อได้ แต่ต้องตรวจหาเชื้อในผู้สัมผัสใกล้ชิดก่อน และเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ขึ้นแท็กซี่มายังโรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้สัมผัสใกล้ชิด 6 ราย เป็นคนขับแท็กซี่ 1 ราย และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอีก 5 ราย” พญ.วลัยรัตน์ กล่าวนพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า โดยสรุปมีผู้สัมผัสใกล้ชิดรวม 24 ราย ที่ต้องทำการสอบสวนโรค แต่ขณะนี้บุคคลดังกล่าวไม่ใช่ผู้ป่วย เนื่องจากไม่มีการติดเชื้อแล้ว ผลการตรวจหาเชื้อซ้ำ 2 ครั้งให้ผลเป็นลบ ดังนั้น รายนี้จึงไม่ใช่ผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม ระบบของการสอบสวนโรคจะต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ