“วิโรจน์ ก้าวไกล” บุกกระทรวงสาธารณสุข ใช้ในฐานะประชาชน ขอทราบ สัญญา การจัดหา วัคซีนโควิด – ยันใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ที่ “เสี่ยหนู” เคยแนะนำ
เมื่อวันที่ 25 ม.ค. เวลา 09.00 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เดินทางมายื่นหนังสือต่อ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับสัญญา ข้อตกลงและเงื่อนไขผูกพันระหว่างรัฐบาล กับแอสตราเชเนก้า และ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ เกี่ยวกับการจัดหาและจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรค โควิด-19 โดย นพ.เกียรติภูมิ เป็นผู้รับมอบหนังสือด้วยตัวเอง พร้อมกล่าวสั้นๆ ว่า ตนขอไปดูรายละเอียดตามข้อเรียกต้องดังกล่าวก่อน
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนขอเรียกร้องให้มีการเปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญาจองซื้อวัคซีนจากแอสตร้าเซเนก้า ซึ่งที่ผ่านมามีคนแย้งว่าเรื่องของสัญญาเอกชนจะให้ไม่ได้ ตนไม่เชื่อว่าสัญญาทั้งฉบับนั้นจะเป็นเงื่อนไขทางการค้าทั้งหมด ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ท่านก็ปิดเฉพาะเงื่อนไขทางการค้า เอาเทปมาปิดแล้วถ่ายสำเนาให้ตนก็ได้ ยิ่งถ้าบอกว่าเป็นสัญญาระหว่างเอกชน
แล้วรัฐเข้าไปยุ่งได้อย่างไร จริงๆ อย่าเรียกว่าเป็นเรื่องที่ตนติดใจอะไร แต่เรียกว่าอยากให้โปร่งใส ให้สาธารณะรับรู้อย่างกว้างขวางมากกว่า เพราะเป็นข้อผูกพัน และมีผลกระทบกับประชาชน และเป็นเงินภาษีของประชาชน ดังนั้น ประเด็นที่เราต้องการคือเรื่องรายระเลียดข้อตกลงต่างๆ ระหว่างรัฐบาล สยามไบโอไซน์ และแอสตร้าเซเนก้า ไม่ว่าใครจะทำกับใคร
วันนี้ยังไม่รู้เลยว่ารูปแบบการทำสัญญานั้นเป็นอย่างไร รวมถึงงบประมาณสนับสนุนให้สยามใบโอไซฯ ทั้งหมด รวมถึงงบประมารในการจองวัคซีนกว่า 6 พันล้านบาทนั้นเป็นงบบริหารจัดการกว่า 2 พันกว่าล้านบาท ซึ่งสูงกว่า 1 ใน 3 ของงบดังกล่าว จึงอยากรู้ว่าเราไปทำอะไรบ้าง ไม่ใช่ตอบลอยๆ ว่าบริหารจัดการ
“นอกจากนี้ก็ยังอยากรู้หลักเกณฑ์ที่บอกว่าแอสตร้าเซเนก้า เป็นผู้เลือกสยามไบโอไซฯ เองด้วยว่า เป็นอย่างไร ถ้ากลักเกณฑ์การคัดเลือกชัด และผลการคัดเลือกชัดเจนก็จะได้สบายใจ อยากให้ชี้แจงรายละเอียด ผมไม่ได้ตั้งธงว่าต้องติติงอะไรล่วงหน้า เพียงแต่เราคุยบนพื้นฐานความคลุมเครือ เราปล่อยให้ประชาชนเราโต้เถียงกันภายใต้ความคลุมเครือ แต่ถ้าเราเปิดสัญญา เห็นลายลักษณ์อักษร ประชาชนที่สบายใจก็จะได้สบายใจบนข้อเท็จจริง
ส่วนประชาชนที่ยังลังเลก็จะหันกลับมาสบายใจเพราะข้อเท็จจริงมาปรากฏ แล้วสิ่งไหนที่โต้เถียงกันอยู่ก็จะได้โต้เถียงกันบนลายลักษณ์อักษร รัฐบาลก็ได้ชี้แจงเจาะจงในลายลักษณ์อักษร ไม่อย่างนั้นเราจะโต้กันบนความรู้สึก ความเชื่อ ซึ่งเป็นการทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น” นายวิโรจน์ กล่าว
และนายวิโรจน์ ยังกล่าวต่ออีกว่า ว่าจากนี้จะไปยื่นหนังสือดังกล่าวถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย ทั้งนี้จากหนังสือขอข้อมูลของนายวิโรจน์ ประกอบด้วย 1.หนังสือแสดงเจตจำนงหรือบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และบริษัทแอสตร้าเซเนก้า 2. สัญญาระหว่างรัฐบาลกับแอสตร้าเซเนก้า ที่ระบุเงื่อนไขการจัดซื้อ เงื่อนไขการส่งมอบ เงื่อนไขราคา และเงื่อนไขผูกพันต่างๆ
3. สัญญาระหว่างรัฐบาลกับบริษัทสยามไบโอไซ ที่ระบุเงื่อนไขการจัดซื้อ เงื่อนไขการส่งมอบ เงื่อนไขราคาและเงื่อนไขผูกพันต่างๆ 4. สัญญาระหว่างแอสตร้าเซเนก้ากับบริษัทสยามไบโอไซน์ที่มีผลกระทบต่อรัฐ งบประมาณ หรือประชาชน เช่น ราคาเปรียบเทียบระหว่างราคาที่บริษัทสยามไบโอไซน์จะขายให้กับรัฐบาลไทยเปรียบเทียบกับราคาที่บริษัทสยามไบโอไซน์วางแผนจะขายให้กับประเทศอื่น
5. หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกและผลการคัดเลือกการสนับสนุนสยามไบโอไซน์ของรัฐบาล 6. ข้อมูลจำนวนเงินสนับสนุนที่รัฐบาลอุดหนุนให้กับบริษัทสยามไบโอไซน์ พร้อมรายละเอียดรายการการสนับสนุนว่าสนับสนุนรายการใด เป็นจำนวนเท่าใด
7. เดิมทราบว่ารัฐบาลไทยสนับสนุนบริษัทสยามไบโอไซน์จำนวน 600 ล้านบาทต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 1,449 ล้านบาทจึงขอทราบเหตุผลและรายละเอียดรายการสนับสนุนเพิ่มเติมและ 8. งบประมาณ 6,449 ล้านบาท จากงบกลางในการจองวัคซีนจากแอสตร้าเซเนก้า มีวงเงินสำหรับการบริหารจัดการวัคซีนจำนวน 2,084 ล้านบาท อยากทราบรายละเอียดของการบริหารจัดการว่ามีรายการอะไรบ้าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเดินทางมาถึงสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายวิโรจน์ ได้พบกับนายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีสาธารณสุข พร้อมแจ้งวัตถุประสงค์ในการมาครั้งนี้โดยขอให้ รัฐมนตรีเร่งรัดเรื่องดังกล่าวให้เพื่อประโยชน์กับพี่น้องประชาชน
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ