เงินชราภาพประกันสังคม ไม่ว่าจะเป็นบำเหน็จ หรือบำนาญ ถ้าอายุยังไม่ถึง แต่อยากได้เงินบางส่วนมาก่อนจะทำได้ไหม มาตอบคำถามคาใจ พร้อมลุ้นประกันสังคมพิจารณาแก้กฎหมายเงินชราภาพ 3 ข้อ
สิทธิประกันสังคม มาตรา 33 และมาตรา 39 ได้ให้ความคุ้มครองผู้ประกันตนหลายส่วน หนึ่งในนั้นก็คือ กรณีชราภาพที่จะได้รับเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ คือ เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และต้องเป็นไปตามเงื่อนไขอื่น ๆ ที่กำหนดไว้
แต่ที่ผ่านมาก็มีหลายคนตั้งคำถามว่า เราจะสามารถขอคืนเงินชราภาพบางส่วนออกมาก่อนครบกำหนดได้หรือไม่ เพื่อให้มีเงินเยียวยาในช่วงเวลาที่ชีวิตประสบปัญหาทางการเงิน หรืออย่างน้อยก็สามารถนำเงินส่วนนี้ไปค้ำประกันเงินกู้จากธนาคารได้
เอาเป็นว่าใครกำลังสงสัยประเด็นนี้อยู่ ลองมาทำความเข้าใจกัน
เช็กเงินชราภาพประกันสังคม มีสะสมอยู่เท่าไร
ก่อนอื่นถ้าใครยังไม่รู้ว่าปัจจุบันเรามีเงินสมทบกรณีชราภาพอยู่เท่าไรแล้ว แนะนำให้เช็กดูที่เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม (คลิกที่นี่) หรือเช็กผ่านแอปพลิเคชัน SSO CONNECT โดยเลือกเมนู “เงินสมทบชราภาพ” หากยังไม่เคยสมัครสมาชิก ให้ลงทะเบียนก่อนตามขั้นตอนดังนี้
แล้วเงินก้อนนี้มาจากไหนล่ะ ? ไม่ต้องสงสัยไป เพราะนี่คือเงินสมทบที่เราจ่ายไว้ทุกเดือนนั่นเอง บวกกับเงินสมทบที่นายจ้างร่วมจ่ายให้เราด้วย โดยสำหรับผู้ประกันตน มาตรา 33 จะต้องจ่ายเงินสมทบ 5% ของเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 750 บาท (คิดจากฐานเงินเดือน 15,000 บาท) และในเงิน 5% นี้ จะถูกแบ่งเป็นกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ ถึง 3%
เท่ากับว่า หากเดือนนั้นเราจ่ายเงินสมทบประกันสังคม 750 บาท ก็จะถูกแบ่งเป็นเงินกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพถึง 450 บาท โดยมีนายจ้างสมทบให้อีก 450 บาท เมื่อรวม ๆ กันหลายปีก็มีเงินสมทบถึงหลักแสนได้เลย
เงินชราภาพประกันสังคม มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร
1. เงินบำเหน็จชราภาพ : จ่ายก้อนเดียวจบ
- กรณีเราจ่ายเงินสมทบ 1-11 เดือน จะได้บำเหน็จเฉพาะส่วนที่เราเคยส่งสมทบไว้ แต่จะไม่ได้ส่วนที่นายจ้างร่วมจ่ายให้ด้วย
- กรณีเราจ่ายเงินสมทบ 12-179 เดือน จะได้บำเหน็จส่วนที่ตัวเองและนายจ้างจ่ายไว้ รวมกับกำไรที่ประกันสังคมนำเงินไปลงทุน โดยกำหนดอัตราผลตอบแทนที่ได้รับเป็นปี ๆ ไป
2. เงินบำนาญชราภาพ : จ่ายทุกเดือนตลอดชีวิต
- เงื่อนไขเดียวที่จะได้รับบำนาญชราภาพก็คือ ต้องจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน หรือ 15 ปีขึ้นไป จะส่งติดต่อกัน 15 ปี หรือส่ง ๆ หยุด ๆ บางช่วงก็ได้ จะส่งในฐานะผู้ประกันตน มาตรา 33 หรือมาตรา 39 ก็ได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องครบ 180 เดือน
- กรณีนี้จะได้รับเงินบำนาญเท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ซึ่งหากเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 จะคิดที่ฐานเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท แต่หากเป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 จะคิดที่ฐานเงินเดือน 4,800 บาท
- หากใครจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ก็จะได้บำนาญบวกเพิ่มขึ้นไปอีก 1.5% ทุก ๆ 12 เดือน หรือ 1 ปี เช่น จ่ายเงินสมทบ 30 ปี ก็จะได้รับบำนาญเป็น 20% + (1.5% x 15 ปี) เท่ากับ 42.5%
- แต่ถ้าในช่วง 60 เดือนสุดท้ายของการทำงาน ใครเป็นทั้งผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 ก็ให้คำนวณจากฐานเงินเดือนสูงสุดของแต่ละมาตรา เช่น ช่วง 40 เดือนแรก เป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 คิดจากฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท บวกกับช่วง 20 เดือนสุดท้าย เป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 คิดจากฐานเงินเดือน 4,800 บาท
เงินชราภาพจะได้คืนเมื่อไร
ลูกจ้างจะได้รับเงินชราภาพคืนก็ต่อเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
หมายความว่า เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้ว ไม่ใช่ว่าจะได้เงินทันที เราจะต้องลาออกจากงาน และลาออกจากประกันสังคมด้วย แต่หากเรายังทำงานอยู่ และส่งเงินสมทบไม่ว่าจะเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 หรือมาตรา 39 แม้อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้ว ก็ยังไม่มีสิทธิรับเงินชราภาพ
สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับเงินคืน จะต้องทำเรื่องขอคืนเงินชราภาพประกันสังคมภายใน 1 ปี หลังลาออกจากกองทุนประกันสังคม ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิรับเงินบำเหน็จ-บำนาญทันที โดยศึกษาขั้นตอนการขอคืนเงินได้ที่นี่
ทั้งนี้ ต้องทราบก่อนว่า เมื่อลาออกจากประกันสังคมเพื่อรับเงินชราภาพ จะทำให้เราเสียสิทธิอื่น ๆ ของประกันสังคมไปด้วย โดยเฉพาะสิทธิการรักษาพยาบาลที่ต้องเปลี่ยนไปใช้บัตรทอง หรือหากไม่มีประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ก็ต้องควักเงินจ่ายเองเมื่อเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล
ขอคืนเงินชราภาพก่อนอายุ 55 ปีได้หรือไม่
สมมติว่า คุณเอ ส่งเงินสมทบครบ 15 ปีแล้ว และได้ลาออกจากงานพร้อมกับลาออกจากประกันสังคมเมื่ออายุ 40 ปี แบบนี้ คุณเอ จะขอรับเงินชราภาพเลยได้ไหม ?
คำตอบคือ ไม่ได้ แม้ว่าจะส่งเงินมาครบ 15 ปี แต่ถ้าคุณเออายุยังไม่ถึง 55 ปีบริบูรณ์ ก็ต้องรอจนกว่าอายุจะครบเท่านั้น ถึงจะได้รับเงินส่วนนี้ เพราะหลักการของเงินชราภาพก็คือ ต้องการให้ทุกคนมีบำนาญรายเดือนหลังเกษียณ โดยไม่ต้องห่วงว่าหากตัวเองอายุยืนแล้ว จะมีเงินสมทบไม่พอใช้
ยกเว้น 2 กรณีที่จะสามารถรับเงินชราภาพคืนก่อนอายุ 55 ปีได้ คือ
1. ผู้ประกันตนกลายเป็นผู้ทุพพลภาพ ก่อนอายุ 55 ปี จะคืนเป็นเงินบำเหน็จ
2. ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายก่อนอายุ 55 ปี ทายาทจะได้รับเป็นเงินบำเหน็จเท่านั้น ไม่มีสิทธิรับเป็นเงินบำนาญ แม้จะส่งเงินสมทบครบ 15 ปีแล้วก็ตาม
ลุ้น ! แก้ไขสิทธิประโยชน์ ขอเลือก ขอคืน ขอกู้เงินชราภาพได้
จะเห็นได้ว่า กรณีการขอรับเงินชราภาพมีข้อจำกัดหลายประการ ทำให้ผู้ประกันตนเรียกร้องให้สำนักงานประกันสังคมพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวประกาศใช้มามากกว่า 20 ปีแล้ว
นั่นจึงเป็นเหตุให้สำนักงานประกันสังคมเตรียมพิจารณาแก้ไขกฎหมายเรื่องนี้ โดยมี 3 ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจก็คือ ขอเลือก ขอคืน ขอกู้
1. ขอเลือก : ให้ผู้ประกันตนที่มีสิทธิรับบำนาญ ขอเลือกรับบำเหน็จแทนได้
เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกันตนไม่สามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินแบบไหน เพราะกฎหมายให้คำนวณจากจำนวนปีที่ส่งเงินสมทบเป็นเกณฑ์
กล่าวคือ หากส่งเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน ก็จะได้เงินบำเหน็จ แต่หากส่งเงินสมทบตั้งแต่ 180 เดือนขึ้นไป ถึงจะได้รับเงินบำนาญ ดังนั้น คนที่ทำงานมาเกิน 15 ปี จะต้องรับบำนาญเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถเลือกรับบำเหน็จได้
ทั้งนี้ การรับเงินบำเหน็จมีข้อดีตรงที่ได้เงินก้อนใหญ่มาเลยทีเดียว เหมาะกับคนที่ต้องการใช้เงินก้อน แต่ก็มีข้อเสียคือ ในกรณีที่เราอายุยืน เราจะได้บำเหน็จน้อยกว่าบำนาญ และมีโอกาสที่จะใช้เงินหมดก่อน อาจไม่มีเงินใช้ในบั้นปลายชีวิต
2. ขอคืน : ให้ผู้ประกันตนขอรับเงินชราภาพบางส่วน ก่อนอายุ 55 ปี
โดยปกติเราจะได้รับเงินชราภาพเมื่ออายุ 55 ปี และลาออกจากประกันสังคมเท่านั้น แต่ขณะนี้กำลังศึกษาแนวทางที่จะให้ผู้ประกันตนเลือกขอรับบำเหน็จ หรือบำนาญชราภาพล่วงหน้าได้บางส่วนก่อนอายุ 55 ปี ซึ่งมีข้อดีคือสามารถบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินได้ แต่มีข้อเสียคือ หากใช้สิทธิรับเงินล่วงหน้าไปแล้ว จะเหลือเงินบำเหน็จหรือบำนาญลดลง
3. ขอกู้ : ให้ผู้ประกันตนนำเงินชราเป็นหลักประกันเงินกู้ผ่านธนาคาร
กล่าวคือ ให้ผู้ประกันตนนำสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพซึ่งมีเงินสมทบอยู่จำนวนหนึ่งไปใช้เป็นหลักประกันเมื่อต้องการขอกู้เงินจากธนาคารได้ ซึ่งจะช่วยให้คนที่ได้รับความเดือดร้อนทางการเงิน และไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สามารถยื่นขอกู้ธนาคารได้
แต่ก็ต้องระวังว่าหากผู้ประกันตนไม่ผ่อนชำระเงินคืนธนาคารตามกำหนดอาจถูกยึดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และต้องถูกปรับลดเงินบำเหน็จหรือบำนาญลงตามจำนวนเงินที่นำไปค้ำประกัน
***สำหรับทั้ง 3 ข้อนี้ ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาข้อดี-ข้อเสีย เพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ซึ่งคาดว่าจะได้ความชัดเจนในเร็ว ๆ นี้
ข่าวจาก : kapook
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ