ปิยะ รอง ผบช.น. ยันภาพ ตร.เอาปืนจ่อหัวผู้ชุมนุม เป็นเพียงการเตือน ไม่ได้มีการยิง และไม่มีการใช้กระสุนจริงในการชุมนุม ฝากเตือน ถูกดำเนินคดีบ่อยศาลเพิ่มโทษได้
จากกรณีที่เมื่อวานนี้มีการชุมนุมกันของกลุ่มผู้ชุมนุมทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะมีการปะทะกันระหว่างตำรวจกองร้อยควบคุมฝูงชน และกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ยอมเดินทางกลับบ้านหลังประกาศยุติการชุมนุม จนทำให้สถานการณ์ยืดเยื้อไปจนถึงช่วงค่ำซึ่งทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บและมีการควบคุมตัวกลุ่มผู้ชุมนุมไปเป็นจำนวนมาก
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 2 ส.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผบช.น. โฆษก บชน. เปิดเผยว่า เบื้องต้นขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมผู้ชุมนุมได้จากที่เกิดเหตุ และบริเวณใกล้เคียง รวมถึงในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี 10 คน และเมื่อคืนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ร่วมชุมนุมได้อีก 1 คนในบริเวณพื้นที่การชุมนุมเนื่องจากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยนำตัวผู้ต้องหาทุกคนไปควบคุมตัวไว้ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 (บก.ตชด.ภ.1) จ.ปทุมธานี และที่ห้องควบคุมผู้ต้องหากองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส) กรุงเทพมหานคร โดยขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการสอบปากคำผู้ต้องหาที่สามารถจับกุมตัวได้ภาพการสอบสวนเสร็จสิ้นภายในวันนี้จะมีการฝากขังผ่านระบบ video conference แต่หากไม่ทันก็จะเลื่อนออกไปเป็นวันพรุ่งนี้ ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บโรคติดต่อ พ.ร.บ.จราจรทางบก และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีกหลายข้อหาซึ่งแตกต่างกันออกไปตามแล้วแต่กรณี
สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่เมื่อวานนี้มีจำนวน 13 นายนั้น พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นการบาดเจ็บจากการถูกขว้างปาสิ่งของของประทัดจากกลุ่มผู้ชุมนุม รวมถึงการปะทะระหว่างการผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามขั้นตอนและยุทธวิธีในระดับสากลซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก จากภาพคลิปวีดีโอและภาพนิ่งตำรวจมีหลักฐานยืนยันด้วยว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้ทำการยั่วยุทำลายทรัพย์สินของราชการและลุกลามเข้ามาในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ก่อน จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอน
“จากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่ารูปแบบของกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อวานนี้ เป็นการรวมตัวของกลุ่มผู้ชุมนุมหลายกลุ่มหรือที่เรียกว่าแม่น้ำหลายสาย ประกอบด้วยกลุ่มผู้ชุมนุมจากจังหวัดนนทบุรี นครปฐม กรุงเทพฯเขตมีนบุรี และจุดอื่นๆทั่วกรุงเทพฯ ที่จะเคลื่อนตัวมุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่การชุมนุมที่นัดหมายไว้ ทั้งนี้ผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมถือว่ามีความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบตัวบุคคลและจะติดตามดำเนินคดีออกหมายเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลังซึ่งต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง” โฆษก บช.น. กล่าว
ส่วนกรณีที่มีภาพของเจ้าหน้าที่กองร้อยควบคุมฝูงชนใช้อาวุธปืนลูกซองจ่อศีรษะผู้ชุมนุมที่กำลังขี่รถจักรยานยนต์บนถนนวิภาวดีรังสิตนั้น พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า เบื้องต้นยืนยันว่ากรณีดังกล่าว การชี้แจงว่า ลักษณะดังกล่าวเป็นรูปแบบทางยุทธวิธีที่เรียกว่า cover and contact ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ต่างประเทศใช้ เหตุการดังกล่าวเป็นเพียงการตักเตือนผู้ชุมนุมให้กลับเคหะสถาน ซึ่งลักษณะก็ต้องปฏิบัติไปตามยุทธวิธี คือระหว่างที่มีเจ้าหน้าที่ไปเจรจา พูดคุยก็ต้องมีอีกคนคอยคุมกันอยู่แล้ว เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวกลุ่มผู้ชุมนุมกระจายตัวออกจากพื้นที่ และเจ้าหน้าที่เห็นว่าผู้ชุมนุมบางคนอาจเป็นภัยคุกคามหรืออาจเกิดอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ได้
“โดยอาวุธปืนที่ใช้กองบัญชาการตำรวจนครบาลมีการติดสติ๊กเกอร์เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นชัดเจนว่ากระสุนที่ใช้เป็นกระสุนยาง อีกครั้งเหตุการณ์ในภาพดังกล่าวไม่ได้มีการยิงผู้ชุมนุมที่ปรากฏในภาพ แต่ได้ทำการตักเตือนและไล่ให้ออกนอกพื้นที่ ทั้งนี้มองว่าลักษณะที่เกิดขึ้นในภาพไม่ได้เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เพราะสถานการณ์ในขณะนั้นค่อนข้างเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ควบคุมสถานการณ์เนื่องจากก่อนหน้านั้นมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้ชุมนุม” พล.ต.ต.ปิยะ กล่าว
ส่วนกรณีที่ผู้ชุมนุมอ้างว่ามีการใช้กระสุนจริงนั้น พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า ยืนยันได้ว่า บช.น. ได้กำชับและตรวจสอบถ้าไม่ให้เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปควบคุมสถานการณ์นำอาวุธชนิดอื่นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลกำหนดเข้าไปใช้ในการปฏิบัติงานเด็ดขาด นอกจากก๊าซน้ำตา อาวุธปืนลูกซองกระสุนยาง ปืนยิงตะข่ายควบคุมตัว และโล่กระบอง
ส่วนการควบคุมการชุมนุมในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ บช.น.อยู่ระหว่างการหารือเพื่อหาแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีกส่วนจะใช้รูปแบบและยุทธวิธีใดนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้เพราะอยู่ระหว่างการหารือกันของแต่ละฝ่าย ทั้งนี้ต้องขอเตือนผู้ชุมนุมว่า ขณะนี้ประเทศบอบช้ำมากพอแล้วอย่าได้ซ้ำเติมอีกเลย
อย่างกรณีเมื่อวารที่ผู้ชุมนุมมีการปิดถนนวิภาวดี ซึ่งบนถนนเส้นดังกล่าวมีโรงพยาบาลหลายแห่งทำให้รถพยาพาล และรถของบุคลากรทางการแพทย์ไม่สามารถปฏิบัติภาระกิจได้สะดวก จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้เวลาในการเคลียร์พื้นที่ ส่วนการดำเนินคดีสำหรับผู้ชุมนุมที่เดินทางมาร่วมชุมนุมและถูกดำเนินคดีในหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ ศาลสามารถที่จะเพิ่มโทษได้ในแต่ละครั้งแต่ละฐานความผิด ด้วยเช่นกัน
ข่าวจาก : ข่าวสด
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ