ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) เปิดเผยว่า ความรุนแรงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ต้องกลับมาชะลอลงอีกครั้ง โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มตลาดระดับกลาง-ล่าง ที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ส่งผลให้ผู้ประกอบการยังคงต้องเน้นทำโปรโมชั่นต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดผู้ต้องการซื้อบ้านเพื่อความจำเป็นที่ยังเหลืออยู่ แม้มีปัจจัยเสริมจากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง แต่ยังถูกจำกัดเฉพาะที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นตลาดได้บางส่วน
จากภาพรวมดังกล่าว ทำให้โดยภาพรวม EIC มองว่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีทิศทางชะลอตัวจากครึ่งแรกของปีที่มีเริ่มสัญญาณการฟื้นตัว โดยคาดว่าหน่วยขายได้ของที่อยู่อาศัยแนวราบในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 35,000 หน่วย หรือปรับตัวลดลง 1-3% จากปีที่แล้ว ซึ่งยังคงเป็นระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังคงระมัดระวังหรือชะลอการเปิดโครงการใหม่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ เนื่องจากโควิด-19 ระลอกใหม่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อในกลุ่มระดับปานกลาง-ล่าง ประกอบกับหน่วยเหลือขายสะสมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การเปิดโครงการบ้านเดี่ยวมีแนวโน้มเติบโตช้าลงจากข้อจำกัดด้านที่ดิน ส่งผลให้ EIC คาดว่าภาพรวมหน่วยเปิดตัวใหม่ที่อยู่อาศัยแนวราบในปีนี้ จะปรับลดลงจากปีที่แล้วราว 36-39% มาอยู่ที่เพียง 29,000-30,000 หน่วย ต่ำกว่าเฉลี่ยของหน่วยเปิดตัวใหม่ที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วงปี 2560-2562 ซึ่งอยู่ที่ราว 50,000 หน่วยต่อปี
อย่างไรก็ดี คาดว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายลงตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีโอกาสค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ด้วยปัจจัยสนับสนุนไม่ว่าจะรูปแบบการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ ทำให้ที่อยู่อาศัยแนวราบตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะบ้านแฝดมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้น จากกลุ่มกำลังซื้อระดับปานกลาง-บน เนื่องจากมีความคุ้มค่าทั้งในด้านราคา ฟังก์ชัน และพื้นที่ใช้สอย นอกจากนี้ การขยายเส้นทางรถไฟฟ้าจะส่งผลให้โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบบริเวณแนวเส้นทางและปลายสายรถไฟฟ้ามีความน่าสนใจ
แต่ทั้งนี้ ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังเผชิญความท้าทายสำคัญหลายด้านทั้งจากอุปทานส่วนเกิน โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ ที่แม้มีการเปิดโครงการใหม่ลดลง แต่กำลังซื้อที่กลับมาชะลอตัว ทำให้การดูดซับทาวน์เฮาส์ออกจากตลาดยังต้องใช้ระยะเวลานาน รวมถึงการเปิดโครงการในบริเวณแนวเส้นทางและปลายสายรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ อาจส่งผลให้การแข่งขันในบริเวณดังกล่าวรุนแรงยิ่งขึ้น รวมถึงการแข่งขันจัดโปรโมชั่นที่รุนแรงขึ้น ทำให้การปรับขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยบางกลุ่มยังเป็นไปอย่างจำกัด โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ อีกทั้งต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ยังคงปรับสูงขึ้น จากราคาที่ดิน ทั้งกรุงเทพฯ ชั้นกลาง และพื้นที่รอบนอก รวมถึงต้นทุนการก่อสร้างจากราคาวัสดุก่อสร้างบางประเภทโดยเฉพาะราคาเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นมาก
ขณะเดียวกันจากสภาวะตลาดที่ยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก ผู้ประกอบการยังเน้นกลยุทธ์การปรับตัว ได้แก่เน้นพัฒนาโครงการขนาดเล็กลง มีมูลค่ารวมไม่สูงมากนัก แต่เน้นความคุ้มค่า รวมถึงพัฒนาโครงการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งเวิร์ก ฟรอม โฮม และให้ความสำคัญกับเรื่องความสะอาด มีสุขอนามัย ตลอดจนการขยายสู่ธุรกิจอื่นๆ และสร้างรายได้ประจำมากขึ้น เช่น ให้เช่าโรงแรม นิคมอุตสาหกรรม โรงพยาบาล บริการด้านวิศวกรรม ผลิตกระแสไฟฟ้า ขนส่งและคลังสินค้า เป็นต้น
ข่าวจาก : ข่าวสด
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ