สรุปเฟกนิวส์ใน TikTok เรื่องวัคซีน #ไฟเซอร์นักเรียน ปล่อยข่าวมั่ว สร้างกระแสไม่รับวัคซีน จนเด็กและผู้ปกครองไม่กล้าให้ฉีด กลัวผลข้างเคียง แถมเชื่อว่าไฟเซอร์มีประสิทธิภาพเท่ากับซิโนแวค
จากกรณี รัฐบาลเริ่มโครงการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้นักเรียนอายุ 12-18 ปี ที่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง แต่เรื่องนี้กลับเกิดดราม่าใน 2 แง่มุม เนื่องจากคนที่อยากฉีดกลับไม่ได้ฉีด เพราะการจัดสรรวัคซีนไม่เพียงพอ จนมีการประกาศหานักเรียนที่จะเสียสละไม่ฉีด และอีกกลุ่มคือลงทะเบียนไปแล้ว แต่กลับเปลี่ยนใจไม่อยากฉีด เพราะกลัวผลข้างเคียงที่ตามมานั้น
จากการสำรวจพบว่ามีนักเรียนและผู้ปกครองจำนวนมากที่ไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์ จนเกิดกระแสสร้างเทรนด์ไม่ยอมฉีดวัคซีนดังกล่าว ซึ่งพบว่าส่วนหนึ่งมีผลมาจากคลิปในแอปพลิเคชัน TikTok ด้วย ตามมาดูสรุปดราม่าดังล่าวกันเลย
คลิปว่อน TikTok ผลข้างเคียงวัคซีนไฟเซอร์
แอปพลิเคชัน TikTok ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในขณะนี้ พบว่ามีคลิปเฟกนิวส์เกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนไฟเซอร์ออกมามากมาย และมีการสร้างเทรนด์ไม่รับวัคซีนไฟเซอร์ ทำให้นักเรียนจำนวนมากเริ่มตามกระแสต่อต้านวัคซีน
อีกทั้งยังมีการแชร์ข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์ ที่ทำให้เชื่อว่ามีคุณภาพเทียบเท่ากับวัคซีนซิโนแวค ประสิทธิภาพต่ำ จนทำให้เด็กไม่กล้าฉีดเพราะกลัวผลข้างเคียงที่ตามมา
กรมควบคุมโรค แนะนำให้ผู้ปกครองเฝ้าระวังอาการลูกหลานภายหลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ อาทิ
- แน่นหน้าอก
- หอบ เหนื่อยง่าย ใจสั่น
- ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
- อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
- เป็นไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน
- หมดสติ เป็นลม
โดยระบุว่าอาการเหล่านี้อาจมีภาวะ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ให้รีบไปพบแพทย์ จากข้อมูลเหล่านี้ยิ่งทำให้ผู้ปกครองหลายคนตัดสินใจไม่ให้ลูกหลานเข้ารับการฉีดวัคซีน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ ระบุว่า กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เป็นผลข้างเคียงที่พบในอัตราต่ำมาก ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะออกกำลังกายอย่างหนักหลังฉีดวัคซีน จึงแนะนำให้เด็กและวัยรุ่นทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและวัยรุ่นชาย ที่ได้รับวัคซีนทั้งโดสที่ 1 และ 2 ควรงดการออกกำลังกาย หรือการทำกิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลา 1 สัปดาห์
ประสิทธิภาพของวัคซีน
ไฟเซอร์ (Pfizer) วัคซีนโควิด 19 จากสหรัฐอเมริกา เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพโดยรวม 95% และสามารถป้องกันอาการป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตได้ 100%
วัคซีนหนึ่งเดียวที่ทางการไทยให้ฉีดในเด็ก
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ออกคำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับเด็กและวัยรุ่นตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป วันที่ 7 กันยายน 2564 ให้พิจารณาเลือกฉีดวัคซีนชนิดที่ได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาแห่งประเทศไทย (อย.) ให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่นตรงตามอายุที่ขึ้นทะเบียนไว้
รวมถึงต้องเป็นวัคซีนที่ผ่านการพิจารณาด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ จากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 7 กันยายน 2564 มีวัคซีนโควิด 19 เพียงชนิดเดียว คือ วัคซีนชนิด mRNA ของ Pizer-BioNTech ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ฉีดในเด็กนักเรียน ดังนั้น จึงแนะนำให้เข้ารับการฉีดตามเกณฑ์ที่กำหนดจะเป็นผลดีต่อตัวเด็กมากที่สุด
ข่าวจาก kapook, ทวิตเตอร์ @/trsign_
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ