วัคซีนโควิด 19 สามารถฉีดกับเด็กนักเรียนอายุ 12 ปีขึ้นไปได้แล้ว แต่จะเลือกฉีดวัคซีน ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) หรือ ไฟเซอร์ (Pfizer) ลองมาเปรียบเทียบกัน
เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนใหม่ เด็กนักเรียนอายุ 12-17 ปี หรืออยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 หรือเทียบเท่า จะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ยี่ห้อ Pfizer ซึ่งได้รับการอนุมัติจากองค์การอนามัยโลกแล้วว่าให้ฉีดในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปได้
ขณะเดียวกันทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ก็ได้จัดโครงการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มสำหรับนักเรียนอายุ 10-18 ปีเช่นกัน จึงทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองลังเลใจว่า ควรให้ลูกฉีดวัคซีน ไฟเซอร์ หรือ ซิโนฟาร์ม ดีกว่า ถ้าอย่างนั้นเราลองมาดูข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณา
วัคซีนซิโนฟาร์ม (Sinopharm)
ชนิดของวัคซีน
เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated Vaccine) โดยนำไวรัส COVID-19 มาเพาะเลี้ยงแล้วทำให้อ่อนแรง จากนั้นใช้สารเคมีฆ่าเชื้อให้ตาย แล้วฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นร่างกายให้เกิดภูมิคุ้มกัน มีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นวัคซีนที่ใช้กระบวนการผลิตเหมือนกับวัคซีนชนิดอื่น ๆ ที่เคยผลิตมาอย่างแพร่หลาย เช่น วัคซีนตับอักเสบเอ วัคซีนโปลิโอ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น
ต้องฉีดกี่โดส
- 2 เข็ม ระยะห่างกัน 3-4 สัปดาห์
ประสิทธิภาพ
- ป้องกันอาการป่วยแบบแสดงอาการและการเสียชีวิตได้ 79% (ระยะเวลาติดตามผลการทดลอง 112 วัน)
เด็กอายุเท่าไรฉีดได้
จากข้อมูลเดือนกันยายน 2564 ประเทศที่อนุมัติให้ใช้วัคซีนซิโนฟาร์มแบบฉุกเฉินกับเด็ก-วัยรุ่น ได้แก่ ประเทศจีน (อายุ 3-17 ปี), สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (อายุ 3-17 ปี), ชิลี (อายุ 6 ขวบขึ้นไป) รวมทั้งศรีลังกา หลังผลการทดลองทางคลินิกพบว่า วัคซีนตอบสนองภูมิคุ้มกันได้ดีไม่ต่างจากการฉีดในผู้ใหญ่
ส่วนในประเทศไทย บริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด ผู้ได้รับอนุญาตนำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์มในประเทศไทย ได้นำเอกสารมายื่นขออนุมัติให้ใช้วัคซีนซิโนฟาร์มในเด็กตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป แต่ขณะนี้ทาง อย. ยังไม่อนุมัติ เนื่องจากต้องรอผลวิจัยการใช้วัคซีนในเฟส 3 เข้ามาเพิ่มเติม รวมทั้งต้องทราบข้อมูลที่ชัดเจนว่าต้องฉีดเท่าไรในเด็ก เพราะปริมาณต่างจากผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตาม กรณีที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จัดให้ฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มในเด็กอายุ 10-18 ปีนั้น เป็นโครงการศึกษาวิจัยที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจาก อย. แต่ทางผู้ปกครองต้องให้ความยินยอม
ผลข้างเคียงที่ควรพิจารณา
ซิโนฟาร์ม ผลข้างเคียงเป็นอย่างไรนั้นยังไม่มีรายงานข้อมูลผลข้างเคียงรุนแรงในเด็ก โดยจากการฉีดวัคซีนให้เด็กใน 4 ประเทศดังกล่าว พบผลข้างเคียงจากวัคซีนเพียง 0.2% ถือว่าน้อยมาก เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง
วัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer)
ชนิดของวัคซีน
วัคซีนไฟเซอร์ เป็นวัคซีนชนิด mRNA (mRNA Vaccines) ที่ผลิตโดยใช้สารพันธุกรรม RNA ของไวรัสที่ก่อโรคโควิด 19 ส่วนที่สร้างโปรตีนหนามแหลมแล้วห่อหุ้มด้วยไขมัน ฉีดเข้าไปในร่างกาย เพื่อให้เซลล์ของเราสร้างหนามแหลมโปรตีนมากระตุ้นการสร้างภูมิต้านทานต่อ COVID-19
ต้องฉีดกี่โดส
- 2 เข็ม ระยะห่างกัน 21 วัน
ประสิทธิภาพ
- ป้องกันความรุนแรงของโรคได้ 100%
- ป้องกันการติดเชื้อมีอาการที่ 94%
- ป้องกันการติดโรค 96.5%
- ป้องกันการเสียชีวิต 98-100%
- มีประสิทธิภาพ 88% ในการป้องกันการป่วยแบบมีอาการจากไวรัสเดลตา หรือสายพันธุ์อินเดีย
เด็กอายุเท่าไรฉีดได้
หน่วยงานสาธารณสุขระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นองค์การอนามัยโลก (WHO), องค์การยายุโรป (EMA), ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC), สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา แนะนำให้กลุ่มเด็กที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป สามารถฉีดวัคซีนไฟเซอร์ได้ ทำให้หลายประเทศทั้งในอเมริกา ยุโรป เอเชีย เดินหน้าฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเด็กนักเรียนแล้ว ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็อนุมัติให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 12-17 ปีได้เช่นกัน
ผลข้างเคียงที่ควรพิจารณา
สิ่งที่ผู้ปกครองหลายคนเป็นกังวลก็คือ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) จากการฉีดวัคซีนชนิด mRNA ซึ่งพบได้ทั้งวัคซีนไฟเซอร์ และโมเดอร์นา โดยรายงานในช่วงแรกระบุว่า มักเกิดภาวะนี้ในเด็กชายอายุ 12-17 ปี ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 แต่อัตราการเกิดยังน้อยมาก และส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ หรือรักษาจนหายได้
ก่อนที่ภายหลังศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (CDC) จะรายงานว่า พบอุบัติการณ์ของโรคนี้สูงขึ้น โดยในเด็กผู้ชายอายุ 12-17 ปี อยู่ที่ 62.5 ต่อล้านโดส และในเด็กผู้หญิงอายุ 12-17 ปี อยู่ที่ 17 ต่อล้านโดส
สอดคล้องกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า อัตราการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และโรคเยื่อหุ้มหัวใจ หลังการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม ในเด็กผู้ชายที่มีสุขภาพดี มีอัตราสูงขึ้น ซึ่งทำให้อัตราความเสี่ยงจากการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กผู้ชายอายุ 12-15 ปี มากกว่าความเสี่ยงติดเชื้อโควิด ดังนี้
เด็กชาย
- อายุ 12-15 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 162.2 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 16-17 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 94 คน ใน 1 ล้านคน
เด็กหญิง
- อายุ 12-15 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 13 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 16-17 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 13.4 คน ใน 1 ล้านคน
สำหรับในประเทศไทย จากข้อมูลจนถึงวันที่ 5 กันยายน 2564 ที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้วประมาณ 1 ล้านโดส พบเด็กชายอายุ 13 ปี เพียง 1 คน ที่มีภาวะดังกล่าว คิดเป็น 0.11 ต่อแสนโดส ซึ่งผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงและรักษาหายเป็นปกติแล้ว
สรุป เลือกวัคซีนตัวไหนดี
วัคซีนทั้งสองประเภทต่างก็มีจุดเด่น-จุดด้อย ซึ่งมีข้อเปรียบเทียบเพื่อประกอบการพิจารณาคือ
- วัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพในการต้านทานไวรัสที่สูงกว่าวัคซีนซิโนฟาร์ม รวมทั้งไวรัสโคโรนา สายพันธุ์เดลตา ที่ระบาดในประเทศไทย
- วัคซีนไฟเซอร์ได้รับการรับรองจากองค์กรด้านสาธารณสุขระดับโลกหลายแห่ง รวมทั้ง อย. ประเทศไทย ว่าสามารถใช้สำหรับเด็กอายุ 12-17 ปีได้ ขณะที่วัคซีนซิโนฟาร์ม ทาง อย. ประเทศไทย ยังไม่ได้อนุมัติ (ข้อมูลเดือนกันยายน 2564) ยกเว้นกรณีเพื่อศึกษาวิจัยที่ไม่ต้องขออนุญาต อย. อย่างเช่นโครงการ VACC 2 School ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
- วัคซีนไฟเซอร์ถูกนำมาฉีดให้เด็ก ๆ ในหลายประเทศแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สเปน ฮ่องกง ฯลฯ ส่วนวัคซีนซิโนฟาร์ม ปัจจุบันมีการอนุมัติใช้กับเด็ก 4 ประเทศ คือ จีน ศรีลังกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และชิลี (ข้อมูลเดือนกันยายน 2564)
- วัคซีนซิโนฟาร์มมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากผลิตจากเชื้อตาย อันเป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ใช้ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโปลิโอ ฯลฯ ส่วนวัคซีนไฟเซอร์เป็นวัคซีนชนิด mRNA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่เคยใช้มาก่อน จึงยังไม่ทราบว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่
- ในเด็กผู้ชายจะมีความเสี่ยงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (วัคซีนชนิด mRNA) สูงกว่าเด็กผู้หญิง ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง สามารถรักษาหายได้ ขณะที่วัคซีนซิโนฟาร์ม ยังไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงในเด็ก
- หากมีประวัติเป็นผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือภาวะหัวใจล้มเหลว ควรปรึกษาแพทย์ประเมินภาวะของโรคก่อนฉีดวัคซีน mRNA
รวมความคิดเห็นจากแพทย์
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ได้ออกคำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับเด็กและวัยรุ่น ฉบับที่ 2 โดยแนะนำให้ฉีดวัคซีนที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้การรับรองใช้ในเด็กและวัยรุ่นแล้ว ซึ่งปัจจุบันยังมีเพียงวัคซีนไฟเซอร์ชนิดเดียว พร้อมแนะนำให้เด็กอายุ 16-18 ปี ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ส่วนเด็กอายุ 12-16 ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนในกรณีเป็นผู้ป่วยเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคเรื้อรัง ขณะที่ส่วนเด็กอายุ 12-16 ปี ที่แข็งแรง และเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี ให้รอผลการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย
ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ปรับคำแนะนำการฉีดวัคซีนให้เด็ก ดังนี้
– เด็กและวัยรุ่นอายุ 16-18 ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม ได้ทุกรายที่ไม่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีน
– เด็กอายุ 12 ปี ถึงน้อยกว่า 16 ปี ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง มีโรคประจำตัว แนะนำให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม
– เด็กผู้หญิงอายุ 12-15 ปี ทุกคน สามารถรับวัคซีนไฟเซอร์ได้ 2 เข็ม
– เด็กผู้ชายอายุ 12 ปี ถึงน้อยกว่า 16 ปี ที่แข็งแรงดี ให้วัคซีนไฟเซอร์ 1 เข็ม และชะลอการฉีดเข็มที่ 2 ออกไปก่อน จนกว่าจะมีคำแนะนำเพิ่มเติม
เนื่องจากข้อมูลความปลอดภัยของวัคซีนในเด็กผู้ชายยังไม่เพียงพอ จากข้อมูลในสหรัฐอเมริกาพบความเสี่ยงการเกิดกล้ามเนื้อหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบในเด็กชายอายุ 12 ปี จนถึงน้อยกว่า 16 ปี มีจำนวน 162.2 คน ต่อการฉีดวัคซีนเข็มสอง 1 ล้านโดส ขณะที่เด็กผู้หญิงพบอัตราการเกิดเพียง 13 คน ต่อการฉีดวัคซีนเข็มสอง 1 ล้านโดส
ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ
หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การให้วัคซีนในเด็กจะต้องมีความปลอดภัยสูง ซึ่งวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA อาการข้างเคียงที่สำคัญคือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และจะพบในคนอายุน้อยมากกว่าผู้สูงอายุ เพศชายมากกว่าเพศหญิง และส่วนใหญ่พบในเข็มที่ 2 มากกว่าเข็มแรก ในหลายประเทศจึงฉีดวัคซีน mRNA ให้เด็กเพียงเข็มเดียว ดังนั้นจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมสำหรับเป็นแนวทางในการฉีดวัคซีนเข็มเดียว เพื่อลดการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
ศ. นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ขณะที่หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ในกลุ่มเด็กควรได้รับวัคซีนทั้งหมด แต่มีข้อควรระวังอย่างสูงในกรณีของวัคซีนไฟเซอร์ หรือตระกูล mRNA เกี่ยวข้องกับหัวใจอักเสบที่จะพบได้ในกลุ่มอายุเช่นนี้เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ ดังนั้นการฉีดวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็มน่าจะให้ความปลอดภัยได้มากกว่า แต่เนื่องจากวัคซีนเชื้อตายไม่สามารถคุมสายพันธุ์เดลตาได้ หลังจากนั้นอาจฉีดเข็ม 3 กระตุ้นต่อด้วยไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา ในปริมาณน้อยที่สุดคือ 1/4 โดส เข้ากล้ามเนื้อ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าได้ผล หรือจะใช้ขนาด 1/5 หรือ 1/10 ฉีดเข้าชั้นผิวหนังก็ได้ผลเช่นกัน และปลอดภัยกว่า
แม้ว่าเด็กที่ป่วยโควิด 19 ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มอื่น แต่การฉีดวัคซีนก็จะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อ รวมทั้งลดอาการของโรคลงได้ ด้วยเหตุนี้หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกจึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็ก อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนให้เด็กจะต้องเป็นไปตามความยินยอมของนักเรียนและผู้ปกครอง จึงต้องศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้ดีก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ