ศาลเเพ่งกรุงเทพใต้สั่ง ตร.ชดใช้ 3.8 ล้านคดี 7 ตำรวจ ใช้ถุงคลุมหัวซ้อมโหดให้รับสารภาพ เผยคำพิพากษาผู้เสียหายยังได้รับผลกระทบทางจิตใจ
วันที่ 29 มิ.ย.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.65 ที่ศาลเเพ่งกรุงเทพใต้ ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ พ.949/2560 นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นคดีแพ่งต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหายตาม พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
คดีจากการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 7 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควบคุมตัวโดยมิชอบและทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้รับสารภาพในคดี ซึ่งตนไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด โดยโจทก์ได้ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนทางละเมิดในคดีเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 20,800,000 บาท อันเป็นค่าความเสียหายต่อร่างกายจากการถูกทำร้ายร่างกาย ค่าเสียหายจากชื่อเสียงเกียรติยศและ ค่าเยียวยาความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกาย พร้อมให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติลบล้างหรือถอนประวัติอาชญากรรมของ นายฤทธิรงค์
โดยศาลพิเคราะห์เเล้วเห็นว่า บาดแผลตามเนื้อตัว ร่างกายโจทก์ตามผลการชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ผู้ตรวจบาดแผล โจทก์ระบุว่า ตรวจพบกดเจ็บที่ข้อมือสองข้าง กดเจ็บที่คอด้านหลัง ไม่พบบาดแผล บาดแผลถลอกที่ท้อง ด้านซ้ายบน กดเจ็บที่ท้องด้านซ้ายบน ใช้เวลารักษาสามวัน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์พบเพียง บาดแผลถลอกที่ท้องด้านซ้ายบน แต่โจทก์ก็เบิกความด้วยว่าโจทก์ถูก พ.ต.ท.วชิรพันธุ์ ทำร้ายโจทก์ โดยใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะและมัดรวบด้านหลังทำให้ขาดอากาศหายใจ โดยกระทำซ้ำๆ หลายครั้ง
ทั้งยังใช้ถุงหลายใบครอบทับกันหลายชั้น จนขาดอากาศมีอาการชักเกรง ดิ้นทุรนทุราย รวมทั้งใช้เข่ากด บริเวณลำตัวไม่ให้ดิ้นรน ทั้งข่มขู่ว่าหากโจทก์ไม่รับสารภาพถ้าโจทก์ตายก็จะนำไปโยนทิ้งที่เขาอีโต้และจะเป็นเพียงคดีคนหายเท่านั้น เพียงเพื่อให้โจทก์รับสารภาพว่าได้กระทำความผิดอาญา การกระทำดังกล่าวเป็นการทรมานโจทก์ในฐานะผู้ต้องหาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อมิให้เกิดร่องรอยบาดแผลบนตัวโจทก์และเป็นการปกป้องตนเองให้พ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตร สหประชาชาติที่ประเทศไทยเป็นภาคีส่งผลกระทบต่อสิทธิผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และกระทบกระเทือนต่อกระบวนการยุติธรรม
แม้โจทก์ไม่มี พยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเป็นจำนวนเท่าใด แต่ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคหนึ่ง โดยพิจารณาว่า พ.ต.ท.วชิรพันธุ์ (สงวนนามสกุล) เป็นเจ้าพนักงานตำรวจต้องดำเนินการภายใต้กฎหมาย แต่กลับปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย วิธีปฏิบัติต่อผู้ต้องหาโดยการละเมิดสิทธิผู้ต้องหา และการชดเชยค่าเสียหายเป็นหน้าที่ของรัฐพึงกระทำ เห็นควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 1 ล้านบาท เพื่อสมแก่เหตุที่โจทก์ทุกข์ทรมานและเป็นเยี่ยงอย่างสำหรับป้องกันไม่ให้กระทำความผิดลักษณะนี้อีกในภายภาคหน้าสำหรับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติยศ
โจทก์เบิกความว่า ภายหลังเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ถูกพนักงานสอบสวน สภ.อ.ปราจีนบุรี ดำเนินคดีฐานวิ่งราวทรัพย์ ซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจากการที่โจทก์ต้องรับสารภาพเนื่องจากถูกทำร้ายร่างกาย ซ้อมทรมานให้รับสารภาพ ทำให้โจทก์ต้องมีประวัติอาชญากรติดตัวมาจนถึงปัจจุบัน เสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติยศ โจทก์ขอค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 1 ล้านบาท นอกจากนี้ โจทก์เบิกความ ขณะเกิดเหตุอายุเพียง 18 ปี กำลังศึกษาอยู่ ม.5 ของโรงเรียนควรจะได้มีการศึกษาที่ดีและมีโอกาสทำงานที่ดี แต่กลับถูกแจ้งความกล่าวหาและกลั่นแกล้งฟ้องดำเนินคดีให้เสี่ยงต้องติดคุกติดตะรางพร้อมประวัติอาชญากร
โจทก์เคยได้รางวัลนักเรียนดีเด่นจากโรงเรียนดนตรีสยามกลกาลปราจีนบุรี และโจทก์เคยพยายามศึกษาเล่าเรียนเพื่อสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเป็นจำนวนเท่าใด ศาลมีอำนาจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควร โดยพิจารณาระดับการศึกษา โอกาสในการประกอบอาชีพ รายได้ที่จะได้รับในแต่ละเดือน และผลเสียหายที่เกิดขึ้นจากการตกเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เห็นควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 3 เเสนบาท
สำหรับค่าสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยาความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกายของโจทก์นั้น โจทก์เบิกความว่า การถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกายโดยทรมานและทารุณโหดร้าย เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง รัฐจึงต้องตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและชดใช้ เยียวยาในความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่เป็นเงินในจำนวนที่พอจะถือว่าได้รับมาตรการเชิงลงโทษ อันเกิดจากการละเมิดต่อร่างกายของบุคคล เพื่อรัฐได้ปรับปรุงแก้ไข กำกับดูแล วางมาตรการป้องกัน และพัฒนาเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐมิให้เกิดเหตุการณ์ละเมิดต่อบุคคลใดๆ ดังเช่นกรณีนี้อีกต่อไป
โจทก์ขอค่าเยียวยาความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกายเป็นเงิน 5 ล้านบาทนั้น ความเสียหายที่โจทก์ขอมาเป็นความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกายของโจทก์ แต่โจทก์กลับอ้างถึงการทำร้ายร่างกายโดยทรมานและทารุณโหดร้าย อันเป็นความเสียหายต่อร่างกาย ซึ่งศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์แล้วจึงเป็นการซ้ำซ้อน ทั้งได้ความว่าโจทก์ถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยวซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่มีผลการตรวจ ปัสสาวะโจทก์แล้วไม่พบสารเสพติด เจ้าพนักงานตำรวจจึงปล่อยตัวโจทก์จากกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี มาพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรเมืองปราจีนบุรี เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้เป็นเงิน 8 หมื่นบาท
และสำหรับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายทางจิตใจ และค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินเป็นเงิน 5 ล้านบาทนั้น โจทก์เบิกความว่าขณะเกิดเหตุ โจทก์เป็นเพียงผู้เยาว์ แต่ต้องมาประสบพบเจอเหตุการณ์อันเลวร้ายจากการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว และร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยวิธีซ้อมทรมานและทารุณโหดร้าย โจทก์ตกอยู่ในอาการหวาดกลัว หวาดผวาและหวาดระแวงมาจนถึงปัจจุบัน และต้องติดอยู่ในจิตใจของโจทก์ตลอดไป ทำให้โจทก์ต้องเข้ารับการตรวจและรักษาทางด้านจิตเวชโดยผู้เชี่ยวชาญของสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เห็นว่า ความเสียหายทางจิตใจถือเป็น ความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 โจทก์มีสิทธิ เรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ได้
เมื่อพิเคราะห์ถึงว่าขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นนักเรียน ภายหลังเกิดเหตุโจทก์เริ่มเข้ารับการตรวจกับทางสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ โดย นพ.อภิชาติ แสงสิน จิตแพทย์เจ้าของไข้โจทก์ร่วมกับทีมสหวิชาชีพได้รวบรวมประวัติทั่วไป ประวัติการเจ็บป่วยโจทก์ ตรวจสภาพจิต และทดสอบทางด้านจิตวิทยา แล้วทำรายงานผลการตรวจวินิจฉัยทางนิติจิตเวชระบุว่า พบว่าโจทก์มีอาการหวาดระแวง มีความเครียดภายหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ซึ่งเป็นโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มโรควิตกกังวลชนิดหนึ่ง ซึ่งส่งผลต่อการเรียนการเข้าสังคมของโจทก์
และได้ความจาก นพ.อภิชาติ เบิกความว่า ขณะที่โจทก์เข้ารับการตรวจโจทก์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันยังพบความหวาดกลัวและความเครียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ ที่โจทก์เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวและทำร้ายร่างกายอยู่ มีอาการนอนไม่หลับ เครียดการได้เห็นเหตุการณ์หรือข่าวเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาหรือบุคคลที่ถูกควบคุมตัวโจทก์มีอาการหวาดกลัวและหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเคยประสบอยู่ จนโจทก์เกิดความท้อแท้ ไม่กล้าออกจาก บ้านที่ต้องห่างบิดามารดาตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน โจทก์ยังต้องได้รับการรักษาเพื่อเยียวยา และฟื้นฟูจิตใจอย่างต่อเนื่อง อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานทางกายและทางจิตใจเป็นเวลานาน โรคเครียดอย่างรุนแรงหลังประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) ของโจทก์มิใช่เป็นความรู้สึกอันเกิดจาก ภาวะทางอารมณ์ที่ปกติ แม้อาการของโจทก์เกิดขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุมาแล้วเป็นเวลา 6ปี ก็ตามแต่แพทย์ก็วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ป่วยเป็นโรคเครียดอย่างรุนแรงหลังประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญ
จึงเป็นผลโดยตรง จากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยเมื่อพิจารณาประกอบพฤติการณ์และความ ร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว เห็นควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 2 ล้านบาท โดยค่าสินไหมทดแทน ในส่วนนี้ศาลไม่จำต้องคำนึงถึงฐานะและรายได้ของผู้เสียหายแต่อย่างใด รวมเป็นค่าสินไหมทดแทน ทั้งสิ้นเป็นเงิน 3,380,000 บาท และโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้นับแต่เวลาที่ทำละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ส่วนคำขอที่ให้จำเลยลบล้างหรือถอนประวัติ อาชญากรรมเห็นว่า ที่โจทก์ถูกดำเนินคดีในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ ก็เนื่องจาก นางเพ็ญศิริ สำเภาทอง เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ พนักงานสอบสวนจึงต้องดำเนินคดีกับโจทก์ไปตามอำนาจหน้าที่ ต่อมาพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องโจทก์ การดำเนินคดีกับโจทก์จึงสิ้นสุดลง เมื่อมีการแจ้งคำสั่งที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องโจทก์ไปยังจำเลยแล้ว จำเลยโดยกองทะเบียนประวัติอาชญากรมีการดำเนินคัดแยกแผ่นลายพิมพ์นิ้วมือและเอกสารที่เกี่ยวข้องทุกประเภทแยกออกจากสารบบหรือฐานข้อมูลประวัติอาชญากรเพื่อจัดเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในทางราชการแล้ว
โจทก์ไม่ใช่อาชญากรและไม่มีประวัติเป็นอาชญากร กรณีจึงไม่มีข้อมูลที่ระบุว่าโจทก์เป็นอาชญากร กรณีของโจทก์ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะลบล้างหรือทำลายประวัติอาชญากรที่ โจทก์จะขอให้จำเลยลบล้างหรือถอนประวัติของโจทก์ได้
สำหรับลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ ก็เป็นวิธีปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเพื่อใช้เป็นข้อมูล ซึ่งไม่ว่าผู้ใดถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดก็จะต้องถูกจัดเก็บลายพิมพ์นิ้วมือทุกคน และแม้ว่าในที่สุดพนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือถูกฟ้อง แต่ศาลพิพากษายกฟ้อง ก็จะไม่มีการลบข้อมูลเกี่ยวกับลายพิมพ์นิ้วมือ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของทางราชการ หาใช่เพื่อกลั่นแกล้งผู้ใด ดังนั้นปัจจุบันโจทก์ไม่มีประวัติอาชญากรแล้ว
พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,380,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ข่าวจาก : ข่าวสด
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ