3 สิงหาคม รายงานข่าวแจ้งว่า วันที่ 5 สิงหาคมนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) นัดชี้แจงตอบข้อซักถามค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) รอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 หลังจากเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่ (กันยายน-ธันวาคม 2565) เป็น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 68.66 สตางค์ต่อหน่วย จากปัจจุบัน (พฤษภาคม-สิงหาคม 2565) อยู่ที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน 3.79 บาทต่อหน่วย จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าโดยรวมที่ประชาชนต้องจ่ายอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย ตามต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงและผลจากเงินบาทอ่อนค่า โดยแนวทางนี้ถือเป็นอัตราต่ำสุดเพราะยังไม่มีการคืนหนี้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่แบกรับต้นทุนเชื้อเพลิงมาตั้งแต่ปี 2564 และการรับภาระงวดใหม่นี้จะทำให้ กฟผ.แบกรับภาระประมาณถึง 1.7 แสนล้านบาท
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังมีมติดังกล่าว สำนักงาน กกพ.นัดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่เนื่องจากมีผู้บริหารในรัฐบาลประสานกับ กกพ.ขอให้พิจารณาให้รอบคอบและให้มีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยด้วย กกพ.จึงขอให้สำนักงาน กกพ.เลื่อนแถลงข่าวไปก่อน
รายงานข่าวแจ้งว่า โจทย์ที่รัฐบาลต้องการมี 2 แนวทางคือ 1.อยากให้ กกพ.พิจารณาต่ออายุมาตรการดูแลผู้ใช้ไฟที่ไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ประเภทบ้านอยู่อาศัยและประเภทกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือกลุ่มเปราะบางถึงสิ้นปี โดยผู้ใช้ไฟฟ้าดังกล่าวที่จ่ายค่าไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้าจากการลดค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ที่ 0.2338 บาทต่อหน่วย (จ่ายเท่าอัตราเดิมของเดือนมกราคม-สิงหาคม 2565) ซึ่งเดิมมาตรการที่ดำเนินอยู่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้ แต่ครั้งนี้ไม่มีเม็ดเงินให้ กกพ.จึงไม่สามารถดำเนินการให้ได้
รายงานข่าวแจ้งว่า 2.หากไม่สามารถดำเนินการได้เพราะไม่มีงบประมาณ อยากขอให้ กกพ.พิจารณาแนวทางพิจารณาสูตรคำนวณค่าไฟใหม่ ภายใต้เกณฑ์ใครใช้ไฟน้อยให้ค่าไฟอัตราต่ำ ใครใช้ไฟมากให้จ่ายค่าไฟในอัตตราสูงขึ้น แต่ กกพ.ยังไม่สามารถทำได้ทันที เพราะต้องใช้เวลาดำเนินการ หากจะปรับสูตร อาจต้องเปิดรับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้เสีย และอาจต้องเสนอเข้าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เป็นประธาน จึงไม่สามารถปรับสูตรให้ได้ในทันที
รายงานข่าวจากสำนักงานบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) แจ้งว่า สัปดาห์นี้ กบน.ไม่มีการพิจารณาปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล เนื่องจากราคาดีเซลตลาดสิงคโปร์ปรับลดลง ทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยน้อยลง ดังนั้นราคาดีเซลที่ตรึงไว้ระดับ 34.94 บาทต่อลิตร จะยาวไปถึงวันที่ 8 สิงหาคม จากนั้น กบน.จะพิจารณาแนวโน้มราคาอีกครั้ง
เบื้องต้นจากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก โดยเฉพาะน้ำมันดิบดูไบและน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ที่ลดลงเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ส่งให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรับภาระอุดหนุนดีเซลลดลง ณ วันที่ 4 สิงหาคม เหลือ 1.19 บาทต่อลิตร จากวันที่ 3 สิงหาคม อุดหนุน 2.36 บาทต่อลิตร ช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันฯได้พอสมควร จากปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯติดลบอยู่ที่ 116,277 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมัน ติดลบ 76,480 ล้านบาท และแอลพีจี ติดลบ 39,797 ล้านบาท
รายงานข่าวจาก สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และบางจาก ประกาศปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดลง ลดลง 0.40 บาทต่อลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลเฉพาะพีทีที สเตชั่นคงเดิม แต่ดีเซลพรีเมียมบางจาก ลดลง 0.70 บาทต่อลิตร มีผล 4 สิงหาคม 2565 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ราคาขายปลีกจะเป็นดังนี้ เบนซิน95 เฉพาะพีทีที สเตชั่น ราคา 45.66 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์95 ราคา 38.25 บาทต่อลิตร, อี20 ราคา 37.14 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์91 ราคา 37.98 บาทต่อลิตร, อี85 ราคา 33.74 บาทต่อลิตร, พรีเมียมแก๊สโซฮอล์95 พีทีที สเตชั่น ราคา 43.74 บาทต่อลิตร, ดีเซล ราคา 34.94 บาทต่อลิตร, พรีเมียมดีเซลพีทีที สเตชั่นและบางจาก ราคา 47.16 บาท ต่อลิตร ราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร สาเหตุที่ราคาลดลง เนื่องจากสถานการณ์ราคาโลกโดยเฉพาะน้ำมันดิบดูไบและน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ลดลง
ข่าวจาก : มติชน
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ