ก.คลัง สั่งเพิ่มเงินสมทบให้สมาชิก กอช. เอาใจวัยเกษียณมีรายได้พอเลี้ยงชีพ





นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นโยบายการขับเคลื่อนระบบประกันสุขภาพเพื่อสังคมผู้สูงอายุ และความยั่งยืนของเศรษฐกิจและสังคมไทย” ว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายที่จะดูแลประชาชนที่เป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งมีนโยบายที่จะเพิ่มเงินสมทบจากภาครัฐ โดยยอมรับว่าปัจจุบันรัฐยังสมทบต่ำเกินไป แต่การสมทบที่เพิ่มขึ้นสมาชิกก็ต้องจ่ายสมทบเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้สมาชิก กอช. หลังเกษียณจะมีรายได้เพียงพอในการเลี้ยงชีพ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้

โดยปัจจุบันเมื่อสมาชิกส่งเงินออมสะสม 50-13,200 บาทต่อปี รัฐจะเติมเงินสมทบเพิ่มให้ตามช่วงอายุของสมาชิก ดังนี้ ช่วงอายุ 15-30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาท (คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 4%) ช่วงอายุ >30-50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาท (คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 7%) ช่วงอายุ >50-60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาท (คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 9%) โดยเงินสมทบจากรัฐบาลคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนโดยประมาณ

นายอาคม กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ต้องเผชิญความเสี่ยงจากโรคระบาด แม้ว่าระบบสาธารณสุขของไทยจะเข้มแข็งเมื่อเทียบกลับหลายประเทศ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจว่าการระบาดจะไม่รุนแรง แต่ในอนาคตการสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจเกี่ยวกับความพร้อมทางด้านการแพทย์ให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยและวัคซีน ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำ ผ่านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการแพทย์ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐต้องดำเนินการในเรื่องนี้ เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงด้านสาธารณสุขในอนาคต

ขณะที่ธุรกิจประกันภัย โดยเฉพาะธุรกิจประกันสุขภาพ ก็ต้องมีการบริหารความเสี่ยงในการออกผลิตภัณฑ์ที่สอดรับกับสถานการณ์โรคระบาดให้มากขึ้น การออกผลิตภัณฑ์จะต้องรอบคอบ ระมัดระวัง และประชาชนควรจะต้องได้รับการคุ้มครองจากการจ่ายค่าเบี้ยให้มากที่สุดด้วย ขณะเดียวกันการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสของธุรกิจประกัน เนื่องจากผู้สูงวัยจะมีความตระหนักด้านสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยง

นายอาคม กล่าวอีกว่า เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะฟื้นตัวได้ดีขึ้น โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 7 เดือนของปี 2565 ส่งออกขยายตัว 11% จากปี 2564 ที่ขยายตัวได้ 20% ส่วนหนึ่งได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยวก็ยังถือเป็นอีกความหวังของเศรษฐกิจไทยในปีนี้

โดยการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นเกิน 1 ล้านคนต่อเดือน ทำให้คาดว่าในปี 2565 ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะขยายตัวที่ 8-10 ล้านคน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของภาคการท่องเที่ยวภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง โดยรัฐบาลหวังว่าหากนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ถึง 10 ล้านคน ก็คือ 1 ใน 4 ของจำนวนนักท่องเที่ยวปกติที่ 40 ล้านคน หรือคิดเป็น 25% ซึ่งเชื่อว่าเป็นสัญญาณที่ดีจนถึงปีหน้า

“สิ่งที่เรายังต้องเผชิญอยู่ตอนนี้คือราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งการอ่อนค่าของเงินบาทไม่ได้เป็นประโยชน์กับราคาน้ำมัน แต่เรื่องนี้รัฐบาลได้พยายามดูแลและช่วยเหลือภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยพยายามตรึงระดับราคาน้ำมันไว้ให้มากที่สุดเพื่อไม่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนให้เพิ่มขึ้นมากเกินไป”

 

ข่าวจาก : ข่าวสด

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: