26 ต.ค. 65 – นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มั่นใจแนวนโยบายของรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทย ดำเนินตามแผนและอย่างเป็นระบบ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เริ่มคลี่คลายแล้ว
แม้ราคาพลังงานและเชื้อเพลิงยังคงมีความผันผวนสูง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงเป็นที่เฝ้าระวัง ไม่เพียงเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นในแนวทางเดียวกันทั่วโลก โดยรับทราบรายงานสถิติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือน ตั้งแต่ ม.ค.-ก.ย. 2565 มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 1,247 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 8 และมูลค่ารวม 439,090 ล้านบาท
นายอนุชา กล่าวว่า ปีที่แล้วมีโครงการขนาดใหญ่ในกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า ยื่นขอรับการส่งเสริมหลายโครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท โดยหากพิจารณาจากสถิติการออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงกับการลงทุนจริงมากที่สุด
จะพบว่าในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีการออกบัตรส่งเสริม 1,101 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 17 และมูลค่ารวม 357,552 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 เป็นสัญญาณว่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จะมีการลงทุนเกิดขึ้นจริงมากขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือน คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย มีมูลค่ารวม 286,699 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีมูลค่ารวม 275,624 ล้านบาท
โดยการลงทุนจากจีน มีเงินลงทุนมากที่สุด 45,024 ล้านบาท ตามด้วยไต้หวัน 39,256 ล้านบาท และญี่ปุ่น 37,591 ล้านบาท โดยมูลค่าการลงทุนจากจีนและไต้หวัน ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคาดว่าการลงทุนใน 2 สาขานี้ จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
สำหรับพื้นที่เป้าหมาย EEC มีการขอรับส่งเสริมจำนวน 376 โครงการ เงินลงทุนรวม 246,655 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 56 ของการลงทุนทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในจังหวัดระยองและชลบุรี นอกจากนี้ มีคำขอรับส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ จำนวน 234 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 86 และมีเงินลงทุน 15,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6
โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรที่ทันสมัยและนำระบบอัตโนมัติมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สอดรับกับสังคมผู้สูงวัย รองลงมาคือ การลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานทดแทนหรือการประหยัดพลังงาน ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการลดคาร์บอนของโลก
“นายกฯเน้นย้ำ ถึงการให้พิจารณาสิทธิประโยชน์ด้านอื่นๆ ควบคู่สิทธิประโยชน์ด้านภาษี ที่ให้การส่งเสริมการลงทุนในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อให้นักลงทุนไทยได้พิจารณาตัดสินใจในการขยายธุรกิจ อีกทั้ง เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น
รวมไปถึงการให้ความสำคัญในการสนับสนุนส่งเสริม Startup SMEs และวิสาหกิจชุมชนของไทย ให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาขับเคลื่อนประเทศในอนาคต และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอีกด้วย” นายอนุชา กล่าว
ข่าวจาก : ข่าวสด
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ