ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์ ความว่า ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และคนไข้ ที่ล้นปรี่ ป่วยกันติ้กๆ(ป่วยกันอย่างต่อเนื่อง)
นโยบาย ที่มีแต่พูด ไม่มี action ทั้งที่ภาคประชาชนและผู้เชี่ยวชาญ นำเสนอ และ มีการร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด แต่ถูกตีตก และ ลากให้ยืดเยื้อ โดยนักการเมือง ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับกลุ่มทุนที่เสียผลประโยชน์ ไม่เปลี่ยน ก็จมอยู่แบบเดิม
ต่อมาโพสต์อีกว่า PM 2.5 ทำสมองเสียหาย : นี่เราจะอยู่กับประเทศที่เต็มไปด้วยสมองเสื่อมแบบนี้ [ขอโพสต์เตือน ในวันสมองพัง PM 2.5 สีม่วงเข้ม ทั่วเมือง]
มองไปทางไหน มีแต่ฝุ่น PM 2.5 ที่ปลิวว่อน เหมือนเมืองในนรกเลยไม่ผิด ผลที่มีต่อสุขภาพที่อาจจะมีทั้งคนรู้และไม่รู้เท่าทัน มันมากกว่าที่คิด เพราะทั่วโลกได้วิจัยศึกษากันมานานนับสิบปี ก่อนที่เค้าจะมีนโยบายปราบฝุ่นแบบชัดเจน อันเนื่องจาก คุณหมอสุรัตน์ ต้องตรวจคนไข้โรคสมองที่บางบ้านก็ไม่มีเครื่องกรองฝุ่นอยู่ที่บ้านก็อดสงสารชะตากรรมแบบทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เตือนภัยจากความรู้จริง เพราะมันส่งผลกระทบไม่ใช่แค่ความเหม็น ความเซ็งเป็ดที่เห็นบ้านเมืองเป็นสีสนิมฝุ่น
มันส่งผลกระทบสุขภาพไปถึงสมอง ซึ่งสมองนี่สำคัญเพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นคน แตกต่างจากลิง และ มันกระทบทุกช่วงวัยเลย ไม่ใช่แค่คนสูงวัยหรือเป็นโรค แต่ยังกระทบไปยังเด็ก ที่จะเกิดมา พัฒนาขึ้นเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ เป็นลูกเป็นหลานเราด้วย
การศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2566 นี้เอง Wei Li และคณะ ตีพิมพ์รีวิวใน Font Mol Neurosci ที่เป็นวารสารวิชาการด้านเซลล์ประสาทวิทยา เรื่อง “A review of respirable fine particulate matter (PM2.5)-induced brain damage” หรือ ฝุ่น PM 2.5 ทำลายสมองว่า นอกจาก ฝุ่น PM 2.5 จะ มีการผลเสียต่อหลอดเลือดและปอดแล้ว มันยังมีผลต่อสมองอย่างร้ายแรง ขนาดที่เล็กของมันที่แทรกเข้าหลอดเลือดผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่ “Lung-Gas-Blood Barrier (ผนังกั้นปอด การแลกเปลี่ยนแก๊ซ และ กระแสเลือด” และ “Gut-Microbial-Brain (ลำไส้ ไมโครเบียล และสมอง)”
PM 2.5 เพิ่มอัมพาตเฉียบพลัน ถึงตายได้แม้ระยะสั้น
การเข้าไปของ PM 2.5 ทำให้เกิดการทำลายหลอดเลือดได้อย่างไร PM 2.5 ที่ผ่านเข้าหลอดเลือด จะทำให้เกิดภาวะ Oxidative stress หรือ ความเครียดของเซลล์หลอดเลือด ก่อนที่มันจะไปกระตุ้นทำให้เซลล์หลอดเลือดทำงานผิดปกติ ไม่ยืดหยุ่น และอักเสบตามมา
นี่เป็นเหตุให้การสำรวจเชิงประชากรพบว่า PM 2.5 ทำให้อัตราของประชากรเกิดโรคอัมพาตมากขึ้นและหากใครยิ่งมีปัญหาทางหลอดเลือดมากก่อนแล้ว เช่น เป็น stroke หรือ โรคหัวใจ เป็นความดันโลหิตสูงเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือแม้กระตุ้น คนสูงอายุที่มักมีเส้นเลือดเสื่อม ก็จะมีปัญหาเส้นเลือดไม่ยืดหยุ่นและอุดตันตามมา
การที่สูด PM 2.5 มันต้องนานไหมถึงจะกระตุ้นให้หลอดเลือดเสื่อมและแข็งตัวได้ อันนี้เป็นอันที่น่าคิด เพราะการสัมผัส PM 2.5 เป็นบางฤดู ที่เราเรียก ฤดูฝุ่น บางคนก็คิดว่า มันไม่เป็นอะไร เพราะเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
แต่ในปี คศ. 2517 Guan และคณะ ได้ศึกษาการสัมผัสกับ PM 2.5 ในหนูแรดเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์แล้วพบว่า เพียง 12 สัปดาห์ของการสูดดม (ประมาณ 3 เดือน) นั่นก็ทำให้หลอดเลือดในสมองเกิดการแข็งตัวได้
ระดับของการเพิ่มขึ้นของ PM2.5 ก็มีผลสำคัญต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ทั้งตีบและแตก ในนิตยสารประสาทวิทยาเล่มเขียว ทำความสัมพันธ์ของการเกิดอัมพาตและระดับ PM 2.5 พบว่า ทุก ๆ ระดับของ PM 2.5 ที่เพิ่มขี้น 5 μg/m3 จะทำให้เพิ่มโอกาสในการเกิดอัมพาตและโรคหลอดเลือดสมองครั้งใหม่ขึ้น 24% และนอกจากเกิดอัมพาตแล้ว ความรุนแรงของมันก็ทำให้เป็นอัมพาตที่รุนแรงและเสียชีวิตเพิ่มถึง 30%
PM 2.5 และสมองเสื่อม
คุณหมอเคยนึกสงสัยว่า คนไข้ช่วงที่มี PM 2.5 จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนไข้ที่สูงอายุ และมีสมองเสื่อม สิ่งที่พบได้แก่ มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง สมองเสื่อมมากขึ้น จำลูกหลานไม่ได้
ในการค้นหาข้อมูลก็ทำให้กระจ่างมากขึ้น โดยคณะวิจัย โดย อ.นพ.กิตติ เทียนขาว จาก คณะแพทยศาสตร์ มช. เรานี่เอง ที่แสดงข้อมูลให้เห็นว่า PM 2.5 ผ่านเข้าสมองโดยตรงที่ olfactory buld ที่เสมือนทางเชื่อมที่โพรงจมูกกับสมอง เสมือนเป็นที่รับกลิ่นของเราแล้ว PM 2.5 นี้ก็จะเข้าไปกระตุ้นโปรตีนขยะที่อยู่ในสมองที่ชื่อ Beta amyloid (เบต้า อะมัยลอย) ที่เป็นแหล่งกำเนิดโรคสมองเสื่อมอัลไซล์เมอร์
นอกจากนี้ PM 2.5 เมื่อสูดเข้าไป จะเข้าไปสู่การทำงานของเชื้อในลำไส้ ทำให้เชื้อในลำไส้ ปล่อยสารพิษ ผ่านเข้าไปยังกระแสเลือดและเข้าสู่สมองด้วย กระบวนการนี้คือการเปลี่ยนแปลงของ Gut Micro Biota หรือ การเปลี่ยนแปลงของเชื้อในร่างกายเรา
PM 2.5 และการพัฒนาสมองของเด็ก
ยิ่งไปกว่า มีผลต่อสมองของผู้ใหญ่และวัยชรา สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากคือ สมองของเด็กที่กำลังพัฒนาจะถูกผลกระทบจาก PM 2.5 หรือไม่
การศึกษาที่น่าตกใจ จาก Environmental International พบว่า อนุภาคของ PM 2.5 อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสมองในวัยกำลังพัฒนาของเด็ก ซึ่งก็เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาด้านการเรียนรู้ ความโง่ ความฉลาด และอารมณ์ในวัยรุ่น โดยเฉพาะอาการซึมเศร้า ที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย
“ในวัยหนุ่มสาว เซลล์ประสาทในสมองเด็ก กำลังขยายตัว และปรับให้เข้ากับการเรียนรู้สิ่งใหม่ โดยต้องการสารอาหาร การเรียนรู้เซลล์ และสิ่งแวดล้อมต่อการงอกของเซลล์ประสาทที่มีประสิทธิภาพ
การเฉลยผล PM 2.5 ต่อการทำงานของสมองเด็ก ได้ถูกออกแบบงานวิจัยและทำโดย Dora Cserbik และคณะ
โดยได้ ศึกษา การสัมผัส PM 2.5 ประจำปี โดยเฉลี่ย แล้วทำ x-ray ดูการทำงานของสมองโดย High Resolution structural T1 MRI และวัดความสมถนะของสมอง ของเด็ก อายุ 9 ถึง 10 ขวบ โดยผลพบว่า ระดับของ PM 2.5 ที่บริเวณที่สูด สัมพันธ์กับ ส่วนของสมองที่เปลี่ยนแปลงไปของเด็ก ได้แก่ gray matter (สมองส่วนที่เป็นเซลล์สมอง) ในส่วนต่าง ๆ ได้แก่ frontal (ส่วนที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและการคิด) temporal (ส่วนที่เกี่ยวกับจดจำ) occipital lobe (ส่วนที่เกี่ยวกับการมองเห็นและประมานภาพ) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสมองนี้ เกิดขึ้นถึง 9 ตำแหน่งจากสมองทั้งหมด 31 ตำแหน่ง
แล้วคุณแม่ที่ตั้งครรภ์หละ เมื่อเจอ PM 2.5 เป็นอย่างไร
งานวิจัยในประเทศจีนชื่อ “Effects of prenatal exposure to PM2.5 and its composition on cognitive and motor functions in children at 12 months of age: The Shanghai Birth Cohort Study” ที่ศึกษาติดตามแม่ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มี PM 2.5 หนาแน่น แล้วมีการติดตามพัฒนาการของเด็กที่เกิดมา ถึง 1 ปี ด้วยแบบทดสอบความฉลาด ASQ พบว่า คะแนน ASQ ที่วัดทั้งการสื่อสาร การเคลื่อนไหว skill การใช้มือแบบละเอียด การตัดสินใจแก้ปัญหา มันแย่ลง และยังมีส่วนสัมพันธ์กับ ภาะวะ ADHD หรือ สมาธิสั้นอีกด้วย
เด็กที่อยู่ในพื้นที่ที่มีมลภาวะฝุ่นพิษสูง มีแนวโน้มในการพัฒนาของสมองช้า IQ ต่ำ หรือจะเรียกว่า โง่ลงก็ได้ เพราะมีการเปรียบเทียบในประเทศสเปนแล้วว่า มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ กับเด็กในตัวอย่างวิจัยถึง 2715 คน (อายุ 9-10 ขวบ)
ฝุ่น PM 2.5 มันเพิ่งมาประมาณ 10 ปี นิดๆ ผลระยะสั้นคงเห็น แต่ผลระยะยาวรุนแรงกว่า เราจะอยู่กับคนที่เป็นอัมพาตมากขึ้น สังคมคนแก่ที่แข็งแรง อาจไม่ได้เห็น เราอาจเป็นสังคมคนแก่ที่เป็นอัมพาตเต็มเป็นหมด เป็นสมองเสื่อม คิดอ่านอะไรไม่ได้ ลืมหน้าลืมหลัง เราจะอยู่กับสังคมวัยทำงานที่ IQ ต่ำเพราะ PM 2.5 เราจะอยู่กับสังคมที่มีบริษัทที่ทำกำไรไม่เห็นหัวคน มีแต่ป่าวประกาศ sustainable project เป็นแค่ลมปาก มีแต่โครงการปาหี่ (เหมือนรถฉีดน้ำขึ้นฟ้า) อย่างนี้หรือ
เราเห็นแต่ผู้ผูกขาด รวยด้วยโลกโทรม (ไม่ใช่รวยด้วยโลกสวย) เราจะเห็น บริษัทที่ทำโครงการเอาหน้าแบบ ฟอกเขียว (green washing) ที่เป็นโครงการเหมือนจะอนุรักษ์โลก และ ส่งเสริม supply chain ที่เต็มไปด้วยการเผาเห็น ๆ
ไม่ได้เขียนให้ตัวเองอย่างเดียว สงสารลูกหลานและพ่อแม่ ก่อนสมองเสื่อม อัมพาต กันทั้งประเทศ
ปล. จะเลือกพรรคการเมืองไหน จำฝุ่นไว้หน่อยนะ
ข่าวจาก : ข่าวสด
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ