4 กรกฎาคม นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ท่านประธาน!!”
นายจตุพร กล่าวว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธานสภาที่ทุกฝ่ายยอมรับการทำหน้าที่ อีกทั้งเชื่อว่า จะเปิดโอกาสให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ชิงตำแหน่งนายกฯ เพียงคนเดียวจนกว่าจะสิ้นสงสัยต่อการไม่ได้รับเสียงจาก ส.ว. 64 เสียงมาผ่านด่าน 376 เสียง จึงไม่ได้เป็นนายกฯ
นายจตุพร กล่าวว่า การเลือกตำแหน่งประธานสภาสิ้นสุดลงแล้วด้วยความเรียบร้อย (เมื่อ 4 ก.ค.) โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ได้รับเลือกด้วยเสียงเอกฉันท์ เพราะไม่มีผู้แข่งขัน เมื่อผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้จึงทำให้ไม่มีฝ่ายใดได้หรือเสียประโยชน์ ส่วนพรรคเพื่อไทยแม้โชว์ความเขี้ยวลากดินทางการเมือง ปรับเปลี่ยนท่าทีกลับไปกลับมา แต่ไม่ได้ตำแหน่งประธานสภาตามความต้องการเช่นกัน
” เกมตำแหน่งประธานสภา เริ่มเห็นร่องรอยการเปลี่ยนมาสู่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เนื่องจากนายคชาภา ตันเจริญ หรือมดดำ หลังจากไปคุยนายสุชาติ ตันเจริญ ผู้เป็นพ่อ แล้วโพสต์ว่าพ่อเชื่อฟังลูกเพื่อเห็นแก่ประชาธิปไตย จึงแสดงถึงการเปลี่ยนเกมแล้ว
เมื่อนายสุชาติ ไม่รับเป็นประธานสภา หวยจึงมาออกที่นายวันนอร์ มะทา ซึ่งทุกฝ่ายล้วนยินดี และไม่มีฝ่ายไหนเสียสักคน แต่ได้กันทุกฝ่าย ดังนั้นเสียงของสภาจึงออกมาเป็นเอกฉันท์”นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า การเลือกประธานสภา เป็นเพียงเกมยกที่หนึ่งเท่านั้น ส่วนหนทางข้างหน้าเป็นการเลือกนายกฯ จะพิสูจน์ความจริงใจและเอกภาพของ 8 พรรค 312 เสียง ซึ่งยากอย่างยิ่งที่จะหาเสียงมาเติมให้ครบ 376 เสียง เพื่อนายพิธา จะได้เป็นนายกฯ แต่ทั้งหมดต้องลุ้นในวันเลือกนายกฯ
” สิ่งสำคัญ พรรคเพื่อไทยเริ่มส่งสัญญาณไม่เป็นเอกภาพ 312 เสียงเสียแล้ว โดยนายสุทิน คลังแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย เกิดไม่ชอบใจเนื้อหาแถลงความร่วมมือเสนอนายวันนอร์ มะทา เป็นประธานสภาของฝ่าย 8 พรรค ดังนั้น จะมีผลกระทบต่อเอกภาพเสียง 312 หรือไม่ นอกจากนี้ด่านสำคัญคือ จะนำเสียง 64 ของ ส.ว.มาจากไหนเพื่อให้นายกฯ จากฝ่าย 8 พรรคได้เสียงถึง 376
เชื่อว่า การโหวตเลือกนายกฯ นั้นคงมีความเป็นไปได้ว่านายพิธาจะถูกเสนอให้สองสภาลงมติคนเดียว ไม่ต้องมีอีกฝ่ายส่งแข่งด้วย แม้แข่งกับการลงมติว่าจะได้ 376 เสียงหรือไม่ ให้ไปพิสูจน์ในช่วงเรียกชื่อลงมติทีละคน แต่หากยังไม่ถึง 376 เสียงก็มีโอกาสให้ลงมติได้อีกสักครั้งเพื่อพิสูจน์ความข้องใจ ให้หายสิ้นสงสัยไปเลย ว่า ส.ว.ไม่โหวตเสียงให้
ถ้านายพิธา หมดความข้องใจ และได้มติไม่ผ่าน 376 เสียงแล้ว ก็ถึงคิวอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร และนายเศรษฐา ทวีสิน สองแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย แต่ที่สุดเชื่อได้ว่า คงได้เสียงเพียง 312 เสียงเท่ากัน ดังนั้นผลลัพธ์ก็ออกมาไม่แตกต่างจากนายพิธา เพราะ ส.ว.ไม่มีมติเติมเสียงให้ แล้วในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องอยู่รักษาการนายกฯ ต่อไป จนกว่าจะเลือกนายกฯ ใหม่มาทำหน้าที่ได้
เมื่อฝ่าย 8 พรรคหาเสียงไม่ถึง 376 ย่อมสร้างความอึดอัดให้สังคมแน่นอน จึงเปิดโอกาสให้ฝ่าย 188 เสียง เข้ามาก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้วยการหาเสียงอีก 63 เสียงจากฝ่าย 8 พรรคมาหนุนเพิ่มให้เสียงถึง 251 เสียงก็จะได้เกินครึ่งสภา แล้วนำ ส.ว. 250 เสียงมาเติมก็ได้เป็นนายกฯ และตั้งรัฐบาลใหม่ได้”
ดังนั้น สถานการณ์ทางการเมืองจึงต้องใส่ใจกับการชิงตำแหน่งนายกฯ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังยืนหนึ่งอยู่เพื่อมาข้ามความขัดแย้ง พร้อมกับจะมีเสียงจากฝ่าย 312 เสียงกว่า 60 คนมาร่วมหนุนในการตั้งรัฐบาลให้ได้
สิ่งนี้จึงต้องจับตา เพราะฝ่าย 312 เสียงยากจะหา ส.ว.อีก 64 เสียงมาเติมให้ผ่านด่าน 376 เสียงได้ แต่ฝ่าย 188 เสียงสามารถนำ ส.ว.มาโหวตได้ แต่ต้องการเสียง ส.ส.จากฝ่าย 312 เสียงมาเพิ่มเติมอีกประมาณ 63 เสียงเพื่อให้ได้เสียงรัฐบาลเกินครึ่งจึงสามารถบริหารประเทศได้ จึงมีโอกาสน่าจะเป็นอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เกมใหม่นี้จึงน่าจับตา” นายจตุพรกล่าว
ข่าวจาก : มติชน
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ