26 สิงหาคม 2566 กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวในงานเสวนา “ข้ามรุ่น อนาคตประเทศไทย” ร่วมกับกองทุนประชากรแห่งประเทศไทย (UNFPA) ระบุว่า โครงสร้างประชากรไทยในปัจจุบัน ถือเป็นสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ และมีแนวโน้มที่จะมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
แนวโน้มประชากรผู้สูงอายุ
– ปี พ.ศ. 2566 มีผู้สูงอายุประมาณ 13.5 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 20% ของประชากรทั้งประเทศ
– ส่วนอีก 10 ปีข้าง หรือในปี 2576 จะเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบสุดยอด โดยมีผู้สูงอายุประมาณ 18.38 ล้านคน หรือประมาณ 28% ของประชากรทั้งหมด
– จากนั้นในปี 2583 ผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 20.51 ล้านคน หรือคิดเป็น 31.37% ของประชากรทั้งหมด
– เท่ากับว่าประชากรสูงอายุจะคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ
ผู้สูงอายุของไทยรายได้ต่ำกว่ารายจ่าย – รายได้ต่ำกว่าเส้นยากจน
จากข้อมูลการสำรวจรายได้ผู้สูงอายุพบว่าผู้สูงอายุของไทยจำนวนมากมีรายได้ต่ำกว่ารายจ่ายและรายได้ต่ำกว่าเส้นยากจน โดยพบว่า 34% หรือประมาณ 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุที่เข้าสู่วัยเกษียณแล้วของประเทศไทยยังคงทำงานอยู่ แต่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน โดยผู้สูงอายุกว่า 78.3% มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปี ทำให้ยังต้องพึ่งพารายได้จากแหล่งอื่น
แหล่งรายได้ของผู้สูงอายุ
– ส่วนใหญ่มาจากการทำงาน 32.4%
– เงินจากบุตร 32.2%
– เบี้ยยังชีพ 19.2%
พบปัญหาผู้สูงอายุเงินออมน้อย
จากการสำรวจพบอีกว่าผู้สูงอายประมาณ 41.4% มีเงินออมต่ำกว่า 50,000 บาท ซึ่งเรื่องการออมสำหรับวัยสูงอายุให้มีรายได้สำหรับการใช้จ่าย ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญและเป็นความท้าทายของสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยที่ต้องมีการวางแผนรองรับ
หากคิดในแง่ของเงินออมสำหรับวัยเกษียณในปัจจุบัน มีเพียงข้าราชการเท่านั้นที่เกษียณแล้วมีรายได้จากเงินบำนาญชัดเจนในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 40% จากรายได้ของเดือนสุดท้ายที่ได้รับ ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ที่ออมเงินอยู่ในช่องทางอื่น ๆ เช่น ประกันสังคม หรือกองทุนการออมแห่งชาติ ก็ไม่เพียงพอที่จะใช้จ่ายในวัยเกษียณ
โดยปัญหามาจากการที่คนส่วนใหญ่เริ่มการออมเงินช้า อายุเฉลี่ยที่เริ่มคือตอนอายุ 42 ปี ขณะที่คนกว่า 26% ไม่มีการออมเงิน และเงินออมสำหรับวัยเกษียณเฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 บาทต่อคนเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะใช้ในวัยเกษียณอายุอย่างแน่นอน
เสนอขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT จาก 7% เป็น 10%
ที่ผ่านมามีการนำเสนอรูปแบบการออมสำหรับผู้สูงอายุหลายรูปแบบ โดยรูปแบบหนึ่งที่มีการเสนอผ่านคณะกรรมการปฏิรูปสังคม และ สศช. เห็นว่าเป็นแนวทางที่ดีคือการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10%
โดยในส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอีก 3% รัฐบาลอาจออกกฎหมายเฉพาะมาเพื่อนำเงินที่รัฐเก็บภาษีในส่วนนี้มาเป็นเงินออมของประชาชนเพื่อใช้ในวัยเกษียณ ซึ่งจะทำให้ประชาชนไทยมีเงินออมไว้ใช้สำหรับการเกษียณอายุ
นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาฯ สศช. กล่าวว่า “ปกติการขึ้นภาษีนั้นเป็นสิ่งที่จะมีคนไม่เห็นด้วยและคัดค้าน แต่ถ้าบอกว่าภาษีที่ปรับขึ้น เช่น การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มมาอีก 3% จาก 7% เป็น 10% ตามที่กฎหมายให้เพดานไว้ แล้วเอาภาษีที่ปรับขึ้นมาสำหรับทำระบบเงินออมให้กับประชาชนเพื่อให้มีเงินใช้ในวัยเกษียณก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ดี
และคาดว่าหากทำความเข้าใจกับประชาชนว่าภาษีที่ขึ้นในส่วนนี้จะเป็นเงินออมในวัยเกษียณประชาชนจะยอมรับ เพราะทำให้ประชาชนมีหลักประกันในวัยเกษียณ และภาครัฐก็มีแหล่งรายได้ที่ชัดเจนว่าจะเอาเงินในส่วนไหนมาจัดสวัสดิการให้ประชาชนสูงอายุที่มีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต”
ข้อมูลจาก : กรุงเทพธุรกิจ
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ