1 กันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมาย โดยตั้งศูนย์ One Stop Service ในลงพื้นที่ลงพื้นที่ท่าเทียบเรือสิริไพโรจน์ ต.แหลมใหญ่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม พบผู้ประกอบการประมงในพื้นที่ เพื่อพูดคุยประเด็นผลกระทบจากประกาศการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU และแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนชาวประมงสมุทรสงครามว่า จะให้ทีมงานดูเพิ่มเติมและหลังจากที่รัฐบาลได้เห็นปัญหาว่า แรงงานที่จะมาทำงานต้องใช้เอกสาร หลายกรม หลายกระทรวง หากเอกสารไม่ครบ ก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติงานได้ ซึ่งตนเห็นใจชาวประมง ที่ต้องสูญเสียรายได้จากการจับปลามูลค่าหลักแสนหลักล้าน โดยมีแนวคิดว่า จะให้เอกสารใช้ระบบออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ
เมื่อถามว่า จะให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ว่าที่รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวหน้าคณะดูแลเรื่องการประมง รวมถึงการเกษตรทั้งหมดหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นว่าที่ฯ ก็ต้องดูทั้งหมด เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องแก้ไขคือปัญหาด้านการท่องเที่ยว รวมถึงการพักหนี้สิน และเรื่องที่ตนจะรับผิดชอบดูแลเองคือ เรื่องการประมง และเชื่อว่า ร.อ.ธรรมนัส พร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ บูรณาการงานร่วมกับคณะทำงานของพรรคเพื่อไทย โดยมี “นายปลอดประสพ สุรัสวดี” และจะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ เพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร็ว
พร้อมกล่าวย้ำว่า อะไรที่สามารถทำได้ ก็จะทำก่อน อาจจะไม่สามารถทำได้ทั้งหมด เนื่องจากทุกอย่างต้องใช้เวลา ซึ่งมีหลายเรื่องที่สามารถเดินหน้าได้เลย โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวข้องกับกระทรวง ทบวง กรม หรือเรื่องที่ต้องนำเข้าคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ ขณะเดียวกันมีอีกหลายอย่างที่ต้องร่วมเจรจาเดินหน้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา เช่น เรื่องวิทยุขาวหรือดำ ซึ่งไทยใช้ดำ และเรือทุกลำมีอยู่แล้ว แต่มีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่ม ก็ไม่ทราบวัตถุประสงค์ หากเป็นมติคณะรัฐมนตรีก็จะพิจารณายกเลิก เพื่อแบ่งเบาภาระชาวประมง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการแก้ไข พ.ร.บแรงงานต่างด้าว ว่า จะต้องปรึกษาว่าที่รมว.แรงงาน เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นวาระที่ต้องพูดคุยกันทุกฝ่าย
เมื่อถาม เรื่องการเจรจาการทำประมงในน่านน้ำอินโดนีเซีย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นประเทศอาเซียนเหมือนกัน อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทย โดยไม่ได้แย่งกันทำงาน เพราะอินโดนีเซียก็มีทรัพยากร ขณะที่ไทยมีความรู้ความสามารถและบุคลากร ถ้าสามารถร่วมงานกันได้ การประสานผลประโยชน์น่าจะลงตัว และหากแบ่งผลประโยชน์ได้ลงตัวก็ เชื่อว่าสามารถเดินหน้าได้ พร้อมกับกล่าวย้ำว่า เดิมทีไทยมีการส่งออกสินค้าทางทะเล 3.5 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบันต้องนำเข้า 1.5 แสนล้านบาท ต่อปี ซึ่งผ่านมาแล้ว 8-9 ปี จะต้องมีการแก้ไขปัญหา แต่ไม่ขอมองปัญหาเก่า ขอเดินหน้าแก้ไขปัญหา อย่าไปว่าใครเลยดีกว่า
ส่วนกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาของชาวประมงหลังถูกตีตกไป นายกรัฐมนตรี มั่นใจว่า สามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยมอบหมายร.อ.ธรรมนัสเป็นผู้รับผิดชอบ
เมื่อถามถึงการปรับขึ้นค่าแรงที่เป็นนโยบายหลักนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นนโยบายของทุกพรรค ซึ่งก็น้อมรับฟังความคิดเห็นจากนายกสมาคมว่า จะต้องระมัดระวังในการปรับขึ้น เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายกับทุกภาคส่วน ขณะเดียวกันก็มีความจำเป็น เนื่องจากค่าครองชีพสูงขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ เน้นการเพิ่มรายได้ ซึ่งหากทำได้ก็จะสามารถเพิ่มค่าแรงให้แรงงานได้ แต่จะพิจารณาก่อนว่า จะขึ้นอะไรอย่างไร หากพร้อมก็จะทำทันที ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงต้นปีหน้า โดยขอหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลก่อน
“การทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีของตน เป็นรัฐบาลของประชาชน เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องร่วมกันกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยและเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกคน เป็นห่วงปัญหาปากท้องของประชาชน และมีความปรารถนาดี ขอแค่โอกาส” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มอบหมายภาระงานให้ โดยเฉพาะการดูแลความเดือดร้อนของชาวประมง ในฐานะว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่ได้รู้สึกหนักใจ เพราะเป็นสิ่งที่ตนเองทำให้กับชาวประมงมาโดยตลอดอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่เป็นอนุกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ชาวประมง ซึ่งหลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง จะตั้งคณะกรรมการร่วม เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาการประมงทันทีฃ
โดยภายหลังเสร็จสิ้นการให้สัมภาษณ์นายเศรษฐา ได้มีการพูดคุยกับตัวแทนภาคประมง ก่อนที่จะเดินมาที่เต็นท์อาหารเที่ยงและตักอาหารทานเอง โดยใช้จานแบบที่ใช้บนเรือประมง ซึ่งวันนี้มีเมนูปลาอินทรีย์ทอด แกงเขียวหวานไก่ และผัดกะเพราทะเล
ข่าวจาก : nationtv
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ