12 กันยายน ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 เป็นวันที่สอง โดยมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม
เวลา 19.40 น. นายเศรษฐา ลุกขึ้นชี้แจงว่า ฟังมาแล้ว 2 วันเต็ม แต่จากที่นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) และนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรค ก.ก. อภิปรายถึงนโยบายด้านการทหาร ฟังแล้วก็หดหู่ใจ แต่ต้องยอมรับ เพราะเป็นการด้อยค่าภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองด้วยกันเอง ทั้งที่เขายังไม่ได้เข้าบริหารราชการ ไม่ว่าจะเป็นทหารอันทรงเกียรติ ยืนยันว่าทุกสถาบัน ทุกหน่วยงานรัฐมีทั้งคนดีและไม่ดี
การที่เราเลือกตั้งไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการที่เราจะเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาที่สะสมหมักหมมกันมายาวนาน เป็นปัญหาใหญ่ เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน เป็นเรื่องของช่องว่างระหว่างกัน ซึ่งประเด็นที่ท่านยกมาอภิปรายเป็นเรื่องทหารและประชาชน ยืนยันว่าเป็นรัฐบาลของประชาชนภายใต้การนำของตน ตนใช้คำว่าพัฒนาก่อน เชื่อว่าความหมายใกล้เคียงกัน ผลลัพธ์ออกมาอาจจะแตกต่างกันบ้างตามกาลที่เปลี่ยนไป ตามขีดจำกัด ตามผลลัพธ์ที่อยากเห็น สังคมเดินไปข้างหน้าได้ ลดความขัดแย้ง การใช้วาทกรรมที่มีการด้อยค่ากันในสภาอันทรงเกียรตินี้
“เมื่อสักครู่ฟังไปเห็นใบหน้ายิ้มแย้ม หัวเราะเยาะกันไปกับตัวอย่าง หลายอย่างอาจจะเป็นตัวอย่างที่ดีและเป็นตัวอย่างที่จริงบ้าง หรือต้องการการพิสูจน์ เข้าใจครับ แต่วิธีการนำเสนอ คำพูดต่างๆ แทนที่จะทำให้บรรยากาศในการทำงานร่วมกันในการเจรจา ในการพัฒนาสถาบันทหารควบคู่ไปกับการมีชีวิตที่ดีขึ้นกับพี่น้องประชาชนจะลำบากขึ้น ผมในฐานะผู้นำรัฐบาลมีความเป็นห่วงจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นการบังคับกันไม่ได้เรื่องการใช้วาทกรรมด้อยค่ากัน
ผมว่าผมพูดมามากพอแล้ว เรื่องการที่จะพัฒนากองทัพร่วมกันนั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องให้เกียรติกองทัพและพรรคการเมืองที่ต้องมีเวลาทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจค่อยๆ ลดหลั่นกันไป เพื่อให้ชายไทยทุกคนมีสิทธิในการเลือกประกอบอาชีพอย่างสมศักดิ์ศรีโดยธำรงไว้ซึ่งสถาบันทหาร เมื่อยามที่ต้องการท่านมาปกป้องอธิปไตยของประเทศไทย” นายเศรษฐากล่าว
นายเศรษฐากล่าวต่อว่า ภาคส่วนทหารเป็นภาคส่วนที่มีวินัยสูง ตนได้พูดคุยกับผู้นำเหล่าทัพเบื้องต้น เพราะยังไม่ได้เข้าบริหารเลย ได้มีการพูดคุยกันอย่างผู้ใหญ่ที่อยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ เรื่องการใช้งบดูแลพี่น้องประชาชนในยามที่เกิดปัญหาเอลนิโญ ภัยแล้ง น้ำท่วม วิกฤตทางเศรษฐกิจ ซึ่งทหารก็พร้อมเข้ามาช่วยเหลือพี่น้อง เรื่องการลดขั้นตอนการใช้อาวุธก็เป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันว่าที่จำเป็นเท่านั้นในช่วงที่เศรษฐกิจเปราะบาง ในยามที่ประเทศต้องการจัดสรรงบประมาณไปช่วยภาคส่วนอื่นที่มีความจำเป็นมากกว่า ส่วนการนำพื้นที่ทหารมาจัดสรรให้ประชาชนใช้ประโยชน์ก็มีการตอบรับที่ดีจากภาคทหาร และจะมีการขยายไปทุกภูมิภาค
“ขอเวลาหน่อยครับ วันนี้เพิ่งเข้ามาทำงาน ไม่อยากได้ยินการด้อยค่าของกันและกัน เตือนกันนิดนึง โตๆ กันแล้ว เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เข้าใจครับ ตระหนักดีครับ” นายเศรษฐากล่าว
ทำให้นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. ประท้วงว่า ต้องขอประท้วงจริงๆ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีใช้ข้อความเสียดสี ด้วยความเคารพ หากเราโตๆ กันแล้วท่านเป็นนายกรัฐมนตรีกรุณาอย่าใช้ข้อความเสียดสีกันเลย เราอภิปรายด้วยเหตุผล ฉะนั้น หากท่านรู้สึกว่าพวกเราเสียดสีท่าน สิ่งที่ท่านต้องทำสิ่งแรกคืออย่าเสียดสีกลับ
ทำให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม กล่าวว่า ทางผู้อภิปราย 2 ท่านพูดในแง่ที่ลบกับนายกรัฐมนตรี ท่านก็คงพูดเพื่อที่จะชี้แจง แต่อย่าใช้คำว่าเสียดสีเลย และขอให้นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงต่อ อย่าใช้คำหยาบ อย่าใช้คำเสียดสี
ก่อนที่นายเศรษฐาจะชี้แจงต่อว่า ส่วนการจัดซื้อเรือดำน้ำนั้น ตนจะเดินทางไปสหรัฐในสัปดาห์หน้าเพื่อไปประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ จะให้กระทรวงการต่างประเทศนัดประธานาธิบดีเยอรมนี หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อเจรจาแก้ปัญหาเรื่องเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้จบไป ขณะนี้ประเทศต้องการความสามัคคี ปัญหาต้องถูกแก้ไขอย่างบูรณาการ พูดคุยด้วยความเข้าใจ แต่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ยืนยันว่าหากเราได้บริหารจัดการแล้วคงจะมีการแถลงร่วมระหว่างภาครัฐบาลกับภาคทหารถึงไทม์ไลน์ที่ชัดเจน ส่วนเรื่องที่มีอาจจะมีการทุจริตก็คงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนอยู่แล้ว เดี๋ยวก็คงจะมีการตรวจสอบ
ข่าวจาก : มติชน
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ