จากกรณี คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิด เรื่องกล่าวหา นายรุ่งรัก ลูกบัว ผู้อำนวยการกองการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร กับพวก กรณี นำรถยนต์ของทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ในการเดินทางไปกลับ ระหว่างบ้านและที่ทำงาน และนำรถยนต์ของทางราชการ ไปตีกอล์ฟ
อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1ภาค 3 ได้เป็น โจทก์ยื่นฟ้องนายรุ่งรัก ลูกบัว กับพวก เป็นจำเลย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 กรณีดังกล่าว
ล่าสุด วันที่12 ตุลาคม นายอดุลย์ วันดี ผอ.ป.ป.ช.ประจำจังหวัดยโสธร เปิดเผยว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค ได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 66 โดยคำพิพากษาสรุปความผิด จากการนำรถราชการไปใช้ โดยได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวเพื่อเป็นพาหนะในการเดินทางไปกลับ ระหว่างบ้านพักและองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร ไม่เคยนำรถยนต์มาจอดเก็บรักษาไว้ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธรแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ใช้รถยนต์คันดังกล่าว ไปตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟกรมทหารราบที่ 16 ค่ายบดินทรเดชา
พิพากษาว่า 1.จำเลยที่ 1 นายรุ่งรัก ลูกบัว มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151(เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 รวม 21 กระทง โดยให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 105ปี จำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 52 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมทุกกระทงแล้วจำคุกจำเลยที่ 1ไม่เกิน 50ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3)
โดยรายละเอียด ดังนี้ ขณะเกิดเหตุ นายรุ่งรัก ลูกบัว จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ระดับ 8) นายสถิรพร นาคสุข จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร และ นายพงษ์ศิริ เหมือนชาติ จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่ง รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร รักษาราชการและปฏิบัติหน้าที่ราชการแทนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร
พฤติการณ์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 ถึงเดือนมิถุนายน 2558 จำเลยที่ 1 ได้จัดทำใบขออนุญาตใช้รถยนต์ส่วนกลางเสนอต่อ จำเลยที่ 2 นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร และเดือนกรกฏาคม 2558 ถึงเดือนมีนาคม 2559 ได้จัดทำใบขออนุญาตใช้รถยนต์ส่วนกลางเสนอต่อ จำเลยที่ 3 รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร รักษาราชการแทน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร เพื่อขออนุญาตนำรถยนต์ คันหมายเลขทะเบียน กค 7129 ยโสธร ไปจอดเก็บรักษาไว้ที่บ้านพักของตน ในตำบลทรายมูล อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร
และได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวเพื่อเป็นพาหนะในการเดินทางไปกลับ ระหว่างบ้านพักและองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร โดยไม่เคยนำรถยนต์มาจอดเก็บรักษาไว้ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธรแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ใช้รถยนต์คันดังกล่าว ไปตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟกรมทหารราบที่ 16 ค่ายบดินทรเดชา
พฤติกรรมของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการเอารถยนต์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธรไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบ เป็นเวลาเกือบ 2ปี เป็นการกระทำที่ร้ายแรงสำหรับ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3ซึ่งเป็นผู้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของทางราชการ ไปใช้ แต่ไม่ได้รู้เห็นการที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ไปใช้ส่วนตัวแต่อย่างใด
จึงไม่ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แต่การไม่ดูแลตามหน้าที่ ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ก่อให้เกิดผลเสียหาย แต่การบริหารราชการแผ่นดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ได้มีคำพิพากษาว่า 1.จำเลยที่ 1 นายรุ่งรัก ลูกบัว มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151(เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 รวม 21 กระทง
โดยให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 105ปี จำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 52 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมทุกกระทงแล้วจำคุกจำเลยที่ 1ไม่เกิน 50ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3)
2. จำเลยที่ 2นายสถิรพร นาคสุข และ จำเลยที่ 3นายพงษ์ศิริ เหมือนชาติ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157(เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต2542แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554มาตรา 123/1 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554มาตรา 123 /1
ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำเลยที่ 2 รวม 12 กระทง จำคุก 12 ปี และปรับ 240,000 บาท และจำเลยที่ 3 รวม 16 กระทง จำคุก 16 ปี และปรับ 320,000 บาท จำเลยที่ 2และที่ 3 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดให้กึ่งหนึ่ง ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2และจำเลยที่ 3 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และไม่เคยใช้รถยนต์คันดังกล่าว
เห็นควรรอลงอาญา คนละ 2 ปี และให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติคนละ 4 เดือนต่อครั้ง ตลอดระยะเวลาที่คุมประพฤติ และให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เป็นเวลาคนละ 36 ชั่วโมง พร้อมชำระค่าปรับ
นายอดุลย์ กล่าวว่าเรื่องนี้ถือเป็นกรณีศึกษาบทเรียนสำคัญสำหรับผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการประจำ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในพื้นที่จังหวัดยโสธร ที่จะต้องสอดส่องดูแลการใช้รถยนต์ราชการของผู้ใต้บังคับบัญชา ให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย และใช้ในราชการเท่านั้นนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน ถือว่าเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ผลประโยชน์ทับซ้อนก็อาจต้องถูกดำเนินคดีอย่างเช่นคดีนี้ ซึ่งผู้บังคับบัญชาต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
จึงขอแจ้งเตือนมาด้วยความห่วงใยมิให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก และเป็นการเสริมสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน โดยไม่นำเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้คดียังไม่ถึงที่สุด จำเลย มีสิทธิ์ต่อสู้คดี เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้ได้อีกก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยได้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดไม่ได้
ข่าวจาก : ข่าวสด
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ