25 มีนาคม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยความคืบหน้าในการช่วยเหลือลูกจ้างบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ที่ถูกค้างจ่ายค่าจ้าง ว่า เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา พนักงานตรวจแรงงาน ได้เชิญผู้แทนบริษัท มาพบที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 เพื่อให้ข้อเท็จจริงและหารือร่วมกันถึงปัญหาการค้างจ่ายค่าจ้าง ตนได้มอบหมายให้นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมหารือด้วย
ซึ่งจากการพูดคุยกับผู้แทนบริษัทให้ข้อเท็จจริงว่า บริษัทฯมีลูกจ้างทั้งหมด 20,188 คน และมีโครงการก่อสร้างกระจายอยู่หลายจังหวัดทั่วประเทศไทย รวม 115 โครงการ กรณีปัญหาที่เกิดขึ้น บริษัทยอมรับว่าเกิดจากการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ปัญหาโดยการขอสินเชื่อหรือขอกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนภายในบริษัท โดยในปัจจุบันมีสถาบันทางการเงินเข้ามาสนับสนุนโครงการของบริษัทแล้ว จำนวน 79 โครงการ ทำให้สามารถจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างได้ตามปกติ สำหรับ 36 โครงการ ที่เหลือรวมถึงสำนักงานแห่งใหญ่ของบริษัท อยู่ระหว่างติดต่อประสานกับสถาบันการเงินเข้ามาสนับสนุน ซึ่งผู้แทนบริษัทคาดว่าจะสามารถจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างได้ตามปกติประมาณเดือนเมษายน 2567
“ทั้งนี้ จากการที่ได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงานทั่วประเทศ ลงพื้นที่ตรวจสอบไซต์ก่อสร้างในเครือบริษัทอิตาเลียนไทย พบว่า ในหลายโครงการหลายจังหวัดเริ่มทยอยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างตามปกติแล้ว เป็นลูกจ้างที่มีทั้งสัญชาติไทยและแรงงานข้ามชาติ จำนวน 6,626 คน ได้แก่ ลูกจ้างในจังหวัดระยอง ปทุมธานี เชียงใหม่ นครราชสีมา และเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 และพื้นที่ 3 เป็นเงินกว่า 30 ล้านบาท” นายพิพัฒน์กล่าว
ด้าน นางโสภา เกียรตินิรชา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างบริษัทอิตาเลียนไทย รวมไปถึงลูกจ้างรับเหมาช่วงอย่างเต็มที่ตามอำนาจหน้าที่ โดยในหลายพื้นที่ได้มีการรับคำร้อง คร.7 และออกคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้าง อย่างไรก็ตาม ตนได้เน้นย้ำกับพนักงานตรวจแรงงานในพื้นที่ที่ลูกจ้างยังไม่ได้รับค่าจ้างค้างจ่ายให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเร่งรัดให้นายจ้างเร่งดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่ได้ตกลงไว้กับลูกจ้าง
ทั้งนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองแรงงานทุกคนภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ในปีงบประมาณ 2566 กสร. ได้ดำเนินการช่วยเหลือลูกจ้างในสถานประกอบกิจการทั่วประเทศให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 จำนวน 19,832 คน ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ เป็นเงินรวม 1,912,298,148.01 บาท โดยจำแนกตามประเภทคำร้อง 5 ลำดับแรก คือ 1) ค่าจ้าง 2) ค่าชดเชยการเลิกจ้าง 3) ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 4) ค่าล่วงเวลา และ 5) ค่าทำงานในวันหยุด และพบว่า แรงงานสัญชาติไทยมีการยื่นคำร้อง (คร.7) มากที่สุด รองลงมาคือ แรงงานสัญชาติเมียนมา กัมพูชา และลาว ตามลำดับ
ข่าวจาก : มติชน
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ