กกพ. ชี้แนวโน้มค่าไฟ พุ่งสูงสุด 6 บาท/หน่วย งวด ก.ย.-ธ.ค.67





12 กรกฎาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ.เปิดเผยแนวโน้มค่าไฟงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2567 ว่า ค่าไฟในช่วงปลายปีนี้มีแนวโน้มปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) ขึ้นในระดับ 46.83-182.99 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บในงวดปลายปี เพิ่มขึ้นเป็น 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย จากงวดก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย

นายพูลพัฒน์กล่าวอีกว่า ปัจจัยผลักดันต้นทุนค่าไฟมาจาก 3 สาเหตุ คือ แนวโน้มค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงจากงวดก่อนหน้า (พฤษภาคม-สิงหาคม 2567) 1.29 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 36.63 บาทต่อดอลลาร์ ผลจากการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศ และต่างประเทศตลอดจนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินแม่เมาะ ซึ่งมีต้นทุนราคาถูก มีความพร้อมในการผลิตลดลง และสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวแบบสัญญาจร (แอลเอ็นจีสปอต) ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 13.58 เหรียญดอลลาร์ต่อล้านบีทียู จากงวดที่ผ่านมาอยู่ที่ 10.38 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ตามสถานการณ์ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวในปลายปี

“นอกจากนี้ ต้องทยอยคืนหนี้ค่าเชื้อเพลิงค้างชำระของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วงเงิน 98,000 ล้านบาท และมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซที่เรียกเก็บเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อตรึงค่าไฟไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย หรือ AFGAS วงเงิน 15,083.79 ล้านบาท” นายพูลพัฒน์ กล่าว

นายพูลพัฒน์กล่าวต่อว่า แนวโน้มค่าไฟงวดใหม่ แบ่งเป็น 3 กรณี กรณีที่ 1 ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟที จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างทั้งหมด ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 222.71 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ปรับเพิ่มเป็น 6.01 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้น 44% กรณีที่ 2 กรณีจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 3 งวด ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 113.78 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.92 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 18% จากงวดปัจจุบัน และกรณีที่ 3 กรณีจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 6 งวด ค่าเอฟทีขายปลีก เท่ากับ 86.55 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.65 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 11% จากงวดปัจจุบัน

“กกพ.จะนำ 3 แนวทาง รับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ.ตั้งแต่วันที่ 12-26 กรกฎาคมนี้ ก่อนจะสรุป และประกาศอย่างเป็นทางการวันที่ 1 กันยายนนี้” นายพูลพัฒน์ กล่าว

นายพูลพัฒน์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีนโยบายตรึงราคาค่าไฟไว้ที่ระดับเดิม คือ 4.18 บาทต่อหน่วย รัฐบาลจะต้องใช้เงินเข้าอุดหนุนขั้นต่ำกว่า 28,000 ล้านบาท กรณีนี้หากให้ กฟผ.เข้ารับภาระ จะทำให้หนี้ กฟผ.กลับไปทะลุ 1 แสนล้านบาท อาจกระทบกับสภาพคล่องของ กฟผ.ได้ และจากสถานการณ์ค่าไฟที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งจากต้นทุนพลังงาน และภาระหนี้สินที่ต้องชดใช้ สำนักงาน กกพ.จะเร่งรณรงค์ให้ประชาชนประหยัดไฟฟ้า เพราะพบว่ากลุ่มเปราะบางที่ได้รับการสนับสนุนค่าไฟในระดับ 3.99 บาทต่อหน่วย มีปริมาณการใช้ไฟค่อนข้างสูง

ที่กระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการระบายข้าว 10 ปีในสต๊อกรัฐบาล 1.5 หมื่นตัน ว่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่าคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เสนอซื้อข้าวสารที่เปิดประมูลครั้งนี้ครบแล้วทั้ง 6 ราย และพบว่ามี 3 รายไม่ผ่านคุณสมบัติ รวมถึง ผู้เสนอราคาสูงสุดรายแรกที่น่าจะขาดคุณสมบัติ ดังนั้น คณะกรรมการต่อรองราคาจะเรียกรายถัดไปมาเจรจา เพื่อให้รัฐได้ประโยชน์สูงสุด และเจรจาแยกเป็นแต่ละคลัง เมื่อได้บริษัทผ่านคุณสมบัติ และเสนอราคาซื้อเป็นที่น่าพอใจก็จะเห็นชอบ อย่างไรก็ตาม ตั้งใจจะไม่ล้มการประมูลครั้งนี้ และต้องการให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด

“คณะกรรมการต่อรองกำลังทำงาน เรียกรายถัดไปที่ไม่มีปัญหาขาดคุณสมบัติ มาต่อรองราคา ถ้าเขาขยับราคาให้ได้ น่าจะเป็นเรื่องดี เมื่อรายที่ให้ราคาสูงสุด ในแต่ละคลังมีปัญหาคุณสมบัติ ต้องให้โอกาสรายที่ 2 รายที่ 3 ที่มีคุณสมบัติครบ และเสนอราคาสูงสุดในแต่ละคลัง ได้มีโอกาสเข้ามาเจรจาต่อรอง โดยให้ยึดราคาที่ผู้เสนอราคาสูงสุดเคยให้ไว้ แต่จะได้หรือไม่ได้ อยู่ที่การต่อรองขององค์การคลังสินค้า (อคส.) เพราะอยากให้ประมูลข้าวรอบนี้จบลงตามที่ตั้งใจไว้ เพราะถือขายได้ราคาดีมาก แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ คงต้องล้ม และเปิดประมูลใหม่ แต่ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น” นายภูมิธรรม กล่าว

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ผู้เสนอประมูล 3 รายที่ถูกตัดสิทธิ ได้แก่ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด และบริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์.การเกษตร จำกัด เนื่องจากผลตรวจสอบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องคดีค้างเก่ากับนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำความเสียหายให้แก่ อคส.และถูก อคส.ฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายตามสัญญารับฝากเก็บรักษามันเส้น ข้าวสาร และสัญญาจ้างตรวจสอบ และรับผิดชอบคุณภาพข้าว ซึ่งเป็นคดีค้างเก่ายังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง แม้ทั้ง 3 ราย ไม่ใช่เป็นคู่กรณีโดยตรง แต่มีความเชื่อมโยงทางอ้อม และเกี่ยวพันกัน

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ จะเหลือ 3 รายที่จะเจรจาต่อรองราคา แยกเป็น คลังกิตติชัย หลัง 2 (ข้าวหอมมะลิ 100%) ปริมาณ 11,656 ตัน อันดับ 2 คือบริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 เสนอราคา 16 บาท/กก.และอันดับ 3 คือบริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ จำกัด เสนอราคา 15.617.35 บาท/กก. และคลังบริษัท พูนผลเทรดดิ้ง จำกัด ปริมาณ 3,356 ตัน อันดับ 2 คือบริษัท สหธัญ จำกัด เสนอราคา 18.690 บาท/กก. อันดับ 3 คือบริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 จำกัด เสนอราคา 16 บาท/กก.อย่างไรก็ตาม การเสนอราคาข้าวสารในล็อตนี้เกินกว่า 15-19 บาท/กก.แสดงให้เห็นว่าข้าวสารจำนวนนี้ยังมีคุณภาพที่ดีอยู่ แม้เก็บไว้นานเกิน 10 ปี

 

ข่าวจาก : มติชน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: