ปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เพราะมันส่งผลต่ออนาคตของเด็กโดยตรง แต่ใครจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องแล้วแต่ความสะดวกของทั้งสองฝ่าย แต่สำหรับเคสของครูเปา เฟซบุ๊กPrapakorn Pantong เขาคือครูคนหนึ่งที่ช่วยเด็กนักเรียนอย่างสุดกำลังความสามารถจริงๆ แม้ว่าผู้ปกครองของเด็กจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่ค่อยโปร่งใสมากนัก
โดยครูหนุ่มคนดังกล่าวได้เล่าในเฟซบุ๊กของตนเองเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมานี้ว่า
วันนี้มีผู้ปกครองคนหนึ่ง มาลานักเรียนออก เค้ามีลูกสาวสองคน คนหนึ่งอยู่อนุบาล 2 อีกคนหนึ่งอยู่ ป. 3 โรงเรียนก็เลยถามโรงเรียนเป้าหมายว่าจะย้ายไปที่ใด จะได้ทำหนังสือย้ายไปถูก ผู้ปกครองก็อ้ำอึ้ง ไม่รู้ บอกแต่จะกลับบ้านย่าที่อยู่อำเภอพระพุทธบาท ก็เลยได้คุยกับผู้ปกครองต่อไป (เรื่องที่จะเล่าดังต่อไปนี้ เล่าเพื่อเป็นกำลังใจและเพื่อให้คนที่ท้อแท้นั้นได้สู้ต่อไป)
พ่อแม่และลูกสาวทั้งสองเคยเป็นครอบครัวที่มีความสุขตามอัตภาพ ที่ จ.ปราจีนบุรี พ่อทำงานเป็นช่างเชื่อม และแม่เป็นแม่บ้าน ครอบครัวอยู่กันแบบพออยู่พอกิน ไม่ได้ลำบาก จนมาพ่อเกิดอุบัติเหตุตกจากที่สูง ทำให้ต้องรักษาตัว แล้วจึงย้ายกลับมาอยู่บ้านย่าที่อำเภอพระพุทธบาท พ่อก็ยังหางานทำรับจ้างทั่วไป (ร่ายกายดีขึ้น แต่เกิดการหวาดกลัวงานในที่สูง) หลังจากนั้นได้ยินข่าวว่าที่บริษัทโรงปูนเค้ารับสมัครพนักงาน จึงหอบลูกสาวทั้งสองและเมียมาอยู่ที่แก่งคอย พ่อเค้าจึงนำลูกสาวทั้งสองมาสมัครเรียนที่โรงเรียนเทศบาลทับกวาง 1 (สมุห์พร้อม) คนแรกเรียนอยู่ชั้นอนุบาล 2 อีกคนเรียนป.3 (แต่น้องเค้าอายุ 12 แล้ว ตามเกณฑ์จะต้องอยู่ชั้น ป.6 หรือ ม.1 แต่เนื่องจากย้ายไปย้ายมา ทำให้ไม่ได้รับการเรียน) พ่อเค้าก็ไปสมัครงานแต่ผลปรากฎว่าสอบไม่ผ่าน หนำซ้ำ เมียก็หนีไปกับคนอื่น (มีผัวใหม่) คุณพ่อกะน้องทั้งสองจึงต้องร่อนเร่ไปในที่ต่างๆ เคยนอนในปั๊ม นอนตามศาลา เดินข้างถนน แดดร้อนๆ เพื่อไปหางานทำ (เมื่อสองวันก่อนเด็กไม่มาโรงเรียน ไปหางานทำกับพ่อ)
จนมาถึงวันนี้พ่อมาลาออก เพื่อจะย้ายกลับบ้าน เพราะเงินจะหมด เหลือแค่ไม่ถึงร้อยบาท แต่ครูก็ถามเค้าว่ากลับไปแล้วลูกหล่ะจะได้เรียนไหม (ใจจริงพ่อเค้าก็ไม่อยากกลับ แต่เงินจะหมด และลูกก็ไม่ได้เรียน งานก็ไม่มีทำ) เรื่องมาถึงตอนเย็น ผมก็ได้คุยกับพ่อเค้า ถ้าเผื่อจะกลับ เดี๋ยวผมจะขับรถไปส่ง หรือจะอยู่ที่นี่ต่อไป ผมก็จะหาบ้านเช่าให้ เพื่อที่จะให้ลูกสาวทั้งสองได้เรียน (เค้าตกลงอยู่เพื่อสู้ต่อ) ผมก็เลยตระเวนหาบ้านเช่าให้ ต่อรองเสร็จสับ ได้บ้านเช่าแถวโรงเรียน ค่าเช่า 1000 บาทต่อเดือนรวมน้ำไฟ ผมก็เลยจัดการพาคุณพ่อเค้าและลูกๆๆ ไปส่งที่บ้านเช่า (บ้านเช่าเก่าตามอัตภาพ)
แต่เชื่อไหมครับ คนที่นี่มากด้วยน้ำใจจริงๆ พ่อและลูกสาวมีกระเป๋าแค่สองใบแค่นั้นไม่มีอะไรเลย พี่หญิงเจ้าของบ้านเช่า และคนที่อยู่แถวนั้น เอาฟูกที่นอนหมอนมุ้ง พัดลม เสื้อผ้าของเด็ก รองเท้า ต่างๆๆ เอามาให้ ถึวตอนนี้ ผมน้ำตาไหลครับ คนไม่รู้จักกัน แต่เค้ามีน้ำใจถึงเพียงนี้ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างนะคับ ผมว่ายังไงประเทศไทยก็ยังเป็นประเทศที่น่าอยู่ คนไทยไม่เคยแล้งน้ำใจ โดยเฉพาะคนแก่งคอย สระบุรี เห็นแล้วพูดอะไรไม่ออกเลยคับ ปล.ลืมไปหนึ่งเรื่อง มีผู้ใหญ่ใจดี (พี่กุ้ง) เทศบาลเมืองทับกวางมอบเงินช่วยเหลือให้ 1000 บาท เพื่อให้ต่อชีวิต ไปได้ครับ เพราะเย็นแล้วลูกทั้งสองยังไม่ได้กินอะไรเลยๆๆ เห็นไหมครับ ต่างจังหวัดดีอย่างนี้นี่เอง น้ำใจไม่เคยเหือดหาย ที่ผมพิมพ์มาซะยาวนี้ เพื่ออยากจะถ่ายทอดชีวิตคนๆหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนที่กำลังท้อแท้ สิ้นหวัง ได้สู้ต่อไป ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ (ผมรักและศรัทธาอาชีพครูก็วันนี้)
ซึ่งหลังจากเรื่องราวนี้ได้โพสต์ลงไป ก็มีคนจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น รวมถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาบอกความจริงของคนเป็นพ่อเด็กในอีกด้านหนึ่งเพื่อเตือนครูให้ระวังไว้ เกรงว่าความช่วยเหลือจะไปไม่ถึงเด็กจริงๆ (อ่านเรื่องราวและคอมเมนท์ทั้งหมดแบบเต็มๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/prapakorn.pantong/posts/1269880029702962)
และบางคนก็เมตตาให้งานพ่อเด็กมาสมัครงานใหม่ ขอแค่เป็นคนขยันจริง
หากใครต้องการจะช่วยเหลือน้องๆ ทั้งสองคน ไม่ว่าจะเป็นทุนการศึกษา ข้าวสารอาหารแห้ง ของใช้ส่วนตัว สามารถติดต่อมายังโรงเรียนตามที่อยู่ภาพข้างล่างนี้ Thaijobsgovก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณภาพชีวิตของครอบครัวนี้จะดีขึ้น เด็กๆ ได้มีอนาคตที่ดี ไม่ลำบากเหมือนอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊กPrapakorn Pantong
เรียบเรียงใหม่โดย Thaijobsgov
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ