ต้องระวัง !! โทษจากการกินเค็ม มหันตภัยเงียบที่ควรหลีกเลี่ยง





kem

การกินอาหารหลายคนย่อมใส่ใจเรื่องรสชาติและนำมาด้วยการปรุงแต่งรสต่างๆ ด้วยเครื่องปรุงหลากหลายเพื่อให้ได้รสเปรี้ยว เค็ม หวานและเผ็ดตามที่ต้องการ และเราก็รู้กันดีใช่มั้ยคะว่าการกินอาหารรสจัดนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง ซึ่งวันนี้เราก็จะมาบอกเล่าถึงโทษจากการกินเค็มให้ได้ทราบกัน

สำหรับการกินเค็มนั้น โดยปกติแล้วร่างกายของคนเราต้องการโซเดียมต่อวันเพียงแค่ 1 ช้อนชาหรือประมาณ 2,400 มิลลิกรัมเท่านั้นค่ะ ในขณะที่หลายคนหันมากินเค็มมากเป็น 3 เท่าตัว ซึ่งหากยังไม่หยุดพฤติกรรมการกินเค็มดังกล่าว ก็ย่อมนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพในภายหลังได้ เช่น

โรคความดันโลหิตสูง

เนื่องจากร่างกายของเราจะมีไตซึ่งคอยทำหน้าที่ช่วยปรับระดับโซเดียมและน้ำภายในร่างกายให้คงความเหมาะสม  แต่หากร่างกายของเรามีปริมาณโซเดียมสูง การทำงานของไตก็จะหนักขึ้น เพราะไม่สามารถปรับระดับของโซเดียมให้เหมาะสมกับน้ำได้ ปริมาณของน้ำและโซเดียมจึงเพิ่มระดับสูงขึ้น ส่งผลให้เลือดซึ่งมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยพลอยสูงขึ้นตามยิ่งขึ้น และหากเลือดไหลผ่านไปยังเส้นเลือดมากก็ย่อมก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงตามมาได้ในที่สุดนั่นเอง

โรคหัวใจ 

การที่เรามีปริมาณเลือดในร่างกายสูงจนนำมาสู่ความดันโลหิตสูงนั้น ย่อมทำให้หัวใจเกิดการสูบฉีดเลือดที่หนักและมีภาวะหัวใจเร็วมากกว่าเดิม ไม่เพียงแค่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตแต่เพียงเท่านั้น เพราะปริมาณของโซเดียมยังทำให้เกิดภาวะร่างกายบวมน้ำและมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งหากเป็นมากๆ ก็อาจจะหนักถึงขั้นหัวใจวายได้

 

โรคไต

หากเป็นโรคความดันโลหิตสูง ไตก็ย่อมทำงานหนักสูงตามมากขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ไตทำงานเสื่อมประสิทธิภาพลง ไม่สามารถขับเอาของเสียออกไปจากร่างกายได้ กระทั่งก่อให้เกิดโรคไตเสื่อมและไตวายในที่สุด

อัมพฤกษ์ อัมพาต 

หากผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงนานและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจนอาการเบาบางลง ผนังหลอดเลือดก็จะได้รับการถูกทำลายจนนำมาสู่การทำลายอวัยวะในส่วนอื่นๆ ที่มีความสำคัญต่อมา โดยเฉพาะสมองที่มีโอกาสเสี่ยงในการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตมากที่สุด เพราะจะเกิดจากโรคหลอดเลือดในสมองแตก ตีบและตันนั่นเอง

 

นอกเหนือจากนี้แล้ว โทษจากการกินเค็มมากยังทำให้เกิดโรคหอบหืดชนิดรุนแรงขึ้นได้ และยังเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะไมเกรน ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนและโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้มากขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ดี เมื่อทราบกันเช่นนี้แล้ว จากนี้ก็ควรลดปริมาณการกินโซเดียมให้น้อยลง หันมากินผักผลไม้ให้มากขึ้นดื่มน้ำมากๆ เพื่อน้ำจะได้ชะล้างเกลือและช่วยลดการบวมน้ำของร่ายกาย พร้อมกับหมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ สุขภาพก็จะดีขึ้นตามมาคู่กันได้แล้วค่ะ

 

[ads=center]

 

ขอบคุณเนื้อหาจาก sanook.com

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: