… วุฒิการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญในการหางานทำอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะโดยทั่วไปแล้ว ยิ่งวุฒิสูงมากเท่าใด เงินเดือนก็พุ่งตามวุฒิได้ แต่อีกด้านหนึ่งของตลาดแรงงาน น้อยคนนักที่จะรู้ว่า บางสายงานก็ไม่จำเป็นต้องจบสูง ขอแค่คุณมีประสบการณ์และมีความสามารถในตัวมากๆ คุณก็มีสิทธิได้รับเงินเดือนสูงได้ !
ชาวพันทิปล็อกอิน ZenithForte ได้แชร์ประสบการณ์ของตนเองไว้เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา ในกระทู้ "รีวิวชีวิตมนุษย์เงินเดือนจบ ม. 6 จาก 4,000 เป็น 40,000 ใน 7 ปี" เขาได้บอกเล่าประสบการณ์และข้อคิดในการทำงานไว้ดังนี้..
สวัสดีครับ ผมอยากรีวิวเส้นทางชีวิตให้คนที่กำลังหลงทาง หรือประสบปัญหาเหมือนกันเอาไว้ให้อ่านครับ และที่สำคัญ ผมจบแค่ ม.6 ครับ เผื่อเป็นแนวทางหรือกำลังใจให้ท่านต่อไปครับ
ผมจะพยายามเขียนเป็นข้อ ๆ ให้กระชับ และไม่มีคำว่าเดี๋ยวมาต่อแน่นอนครับ บางส่วนอาจจะมีหลงลืมบ้าง Time Line ช่วงแรก ๆ ผมอาจจะจำสลับกันบ้าง แต่ใจความสำคัญจะอยู่ด้านหลังครับ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผมเปลี่ยนงานบ่อยมากกกก กอไก่ล้านตัว
ประวัติส่วนตัวคร่าว ๆ แล้ว ผมเป็นคนต่างจังหวัดตั้งแต่กำเนิดครับ เกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะครับ ฐานะยากจน ซึ่งระหว่างที่ผมเรียนอนุบาล ยังมัธยม ผมก็มีเหตุที่ต้องย้าย รร. บ่อยครั้งครับ เพราะว่าต้องตามพ่อแม่เวลาย้ายที่ทำงานครับ แต่ก็ยังอยู่ในอำเภอเดียวกันนะครับ อันนี้ไม่ขอพูดถึง
ผมขอ Skip มาที่เหตุการณ์หลัก ๆ ที่ทำให้ผมเป็นคนแบบทุกวันนี้เลยก็แล้วกันครับ สมัยมัธยมผมเป็นคนค่อนข้างหน้าด้านครับ ชอบทำกิจกรรม เป็นที่รังเกียจของเพื่อนร่วมรุ่น 55555+ ถ้าใครเคยดูฮอร์โมนซีซั่น 3 ให้นึกถึงตัวละครที่ชื่อ บอส ไว้ครับ เพียงแต่ว่าหน้าตาผมอาจจะไม่ได้หล่อครึ่งของเค้า
ผมเข้ากิจอยู่สองสามอย่าง ทั้งเป็นเด็กกิจกรรม เป็นเด็กห้องคอม เป็นช่างภาพ รร. , เป็นนักดนตรี วงโยธวาทิต ประมาณนี้ครับ ซึ่งในช่วงนี้ผมก็จะได้เป็นตัวแทนของ รร. ไปแข่งทักษะด้านคอมพิวเตอร์อยู่บ่อยครั้ง แต่ว่าสิ่งที่ผมชอบจริง ๆ ดันเป็นดนตรีครับ
ดังนั้นตอนจบ ม.6 ผมเลยเลือกลงเรียนดนตรีสากล ซึ่งได้โควต้าแล้ว แต่ว่ามีเหตุที่ไม่ได้เรียนต่อ (ซึ่งต้องขอขอบคุณเหตุนี้ ถ้าไม่มีเรื่องนี้ คงไม่มีผมวันนี้เช่นกัน) เพราะว่าทางบ้านไม่มีเงินส่งเสีย ตอนนั้นผมจำได้ผมนอนร้องไห้อยู่นาน เสียใจสุด ๆ T T
[ปี 2553] ตอนนั้นผมก็ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน ผมเลยลองโทรไปของานกับพี่ที่ทำงานมูลนิธิ ที่ผมเคยเป็นเด็กกิจกรรม และช่วยจัดค่ายเยาวชนให้กับเขา ซึ่งเขาก็ไปคุยกับหัวหน้ามาให้ และ Offer ตำแหน่งให้เราไปทำงานต่างจังหวัด ซึ่งมีที่พักให้ฟรี ด้วยเงินเดือน 4000 บาท
[ปี 2554] ด้วยความที่ผมเป็นขี้เบื่อ (หรือจับจด?) ผมรู้สึกว่างานที่ทำอยู่ มันไม่ได้ก้าวหน้าไปทางไหน ผมเลยกลับไปปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาหมวดคอมพิวเตอร์ ที่โรงเรียนมัธยมของผม จนสุดท้ายอาจารย์ช่วยคุยกับ ผอ. และได้ Offer ตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ IT ให้ผมด้วยเงินเดือน 4000 บาท
[ปี 2555] อาจารย์ที่ทำงานด้วยกัน เริ่มพูดให้ผมอยากกลับไปเรียนมหาลัยอีกรอบ คราวนี้เรียนภาคพิเศษ เสาร์อาทิตย์ ที่มหาลัยในตัวเมือง ซึ่งผมต้องนั่งโดยสารไปกลับทุกวันเสาร์ อาทิตย์ นานกว่า 2 – 3 เดือน
[ปี 2556] ซึ่งตอนนั้นผมก็เริ่มรู้จักกับเพื่อน ๆ ที่เรียนภาคพิเศษด้วยกันแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานหมด ผมเลยรู้จักพี่คนหนึ่ง เขาก็ชวนผมไปทำงาน ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับขายอุปกรณ์ IT ผมก็ตกลงไป เพราะเขามีที่พักให้ และผมก็ไม่อยากวิ่งกลับไปกลับมาแบบนี้ เขาให้เงินเดือนผมประมาณ 6,000 บาท ผมทำงานกับพี่คนนี้ได้ประมาณ 6 เดือน ผมรู้สึกว่างานมันซ้ำซาก ไม่ก้าวหน้าไปไหน แถมรู้สึกว่าเงินที่ได้ ไม่คุ้มกับแรงที่ลงไป เพราะต้องใช้รถมอเตอร์ไซค์ตัวเองวิ่งส่งของในเมือง ค่าน้ำมันตกวันละ 100 บาท ซึ่งไม่ได้สวัสดิการส่วนนี้ ผมเลยตัดสินใจย้ายงาน
[ปี 2556] ตอนที่จะย้ายงาน ผมก็ยังรู้สึกเสียดายกับการเรียนมหาลัย แต่บอกตรง ๆ ครับ เรียนภาคพิเศษ เหมือนเรียนเพื่อให้ได้วุฒิจริง ๆ เพราะอาจารย์สอนช้ามาก เพราะต้องให้คนที่เรียนในห้องไปด้วยกันทั้งหมด ผมเลยรู้สึกว่าถ้าสอนแบบนี้ ตูเรียนเองก็ได้ฟระ 555+ ผมก็เลยออกมา ประจวบกับตอนนั้นมีเพื่อนไปอยู่ กทม พอดี ผมเลยมาขออาศัยกับเพื่อน แล้วไปทำงานโรงแรม ซึ่งผมทำหลายหน้าที่มาก ตั้งแต่เป็น ผู้ช่วยกุ๊กครัวเย็น เป็นผู้ช่วยกุ๊กเบเกอรี่ เป็นเด็กเสริฟในงานจัดเลี้ยง จนสุดท้ายมาจบที่ Bell Boy ซึ่งงานนี้ได้เงินดีมาก เงินเดือนได้ตอนนั้น 9,000 บาท รวมทิปแล้ว น่าจะประมาณ 15,000 บาท
[ปี 2557] ผมออกจากโรงแรม แล้วกลับมาจังหวัดบ้านเกิด เพราะได้รับ Offer จากพี่ที่เคยรู้จักตอนเรียนมหาลัยนั่นแหละครับ ให้มาทำตำแหน่งช่าง IT ประจำบริษัท ตอนนั้นเขา Offer มา 9,000 บาท ผมเลยตัดสินใจเอา เพราะเงินเดือนเท่านี้กับต่างจังหวัด ถือว่าเยอะอยู่นะ
[ปี 2557] ผมตัดสินใจเปลี่ยนงานอีกครั้ง เพราะผมรู้สึกว่าสายงานด้าน IT แบบนี้ ชีวิตผมคงจะวนเวียนอยู่แค่นี้แน่ ๆ ผมเลยเริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรม การสร้างเว็บไซต์ ซึ่งระหว่างที่ทำงานที่เก่า ผมก็มีรับงานทำเว็บไซต์ง่าย ๆ บ้าง จ๊อบละ 5,000 – 8,000 บาท มาเรื่อย ๆ หลังจากนั้นผมก็เห็นประกาศรับสมัครงานที่หนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทเปิดใหม่ เจ้าของเป็นต่างชาติ ซึ่งมีคนไทยเป็นเจ้าของร่วมด้วย ตอนนั้นผมเลยลองยื่นไป ผมจำได้ว่าใน Resume ของผมนั้นมีแค่ 1 แผ่น ครึ่งบนเป็น Skill ที่ผมมี (ที่คิดว่าจะเอาไปใช้ในงานได้) ส่วนครึ่งล่าง เป็นบรรยายภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ ว่าทำไมผมอยากทำงานที่นี่ ผมเขียนเรียงความของานเขา จนสุดท้ายเขาก็ให้แบบทดสอบ และรับเราเข้าทำงาน ซึ่งตอนนั้นผมขอไป 15,000 บาท ซึ่งเขาก็ให้จริง ๆ (ไม่คิดว่าจะได้) ทำงานต่อประมาณ 3 เดือนเขาก็เพิ่มให้เป็น 17,000 บาท
ถึงจุดนี้ผมรู้สึกว่าผมมาถูกทางแล้ว ผมรู้สึกรักงานที่ผมทำ ผมทำได้ทั้งวันโดยที่ไม่รู้สึกเบื่อ ผมพูดได้ว่า ตั้งแต่ผมทำงานที่นี่ และที่ต่อ ๆ ไป ผมไม่เคยมีความรู้สึกว่า โอ้ยยย วันจันทร์อีกแล้ว หรือรู้สึกดีเวลาถึงวันศุกร์
ระหว่างนี้ผมก็ฝึกษา โดยการดูคลิปยูทูปครับ ดูมันทุกวัน คลิปตลกของพวกฝรั่ง แนว Shit Asian Mom say, shit apple fan say อะไรพวกนี้ ลองดูของชาแนล JustKiddingFlim ก็ได้ครับ เป็นของคนเอเชีย สำเนียงจะฟังง่ายหน่อย ต่อมาก็เริ่มดูพวก TED Talk ครับ หลังจากนั้นเราพอฟังรู้เรื่องแล้ว มันก็ช่วยเราได้มากครับ เพราะบทเรียนต่าง ๆ ของสายโปรแกรมเมอร์มักจะเป็นภาษาอังกฤษหมดครับ
[ปี 2558] ผมก็ต้องมีเหตุที่ต้องตัดสินใจย้ายงานอีกครั้ง เพราะได้รับ Offer จากพี่ที่รู้จักในกรุงเทพ ชวนไปทำงาน ซึ่งเขาคือคนที่ผมเคยไปลงคอร์สเรียนกับเขานั่นแหละครับ ตอนนั้นคอร์สเขาจัดวันเสาร์ 2 วัน ผมต้องนั่งเครื่องบินไปกลับสองรอบ เสียเงินไปหมื่นกว่าเหมือนกัน เวลามีงาน Meetup ในสายงานผมก็มักจะไปตลอด เขาคงเห็นความพยายามของเราเลยชวนไปมั้งครับ 5555+ ซึ่งตอนนั้นเขา Offer มา 30,000 บาท จะรออะไรล่ะครับ ไปโลด
[ปี 2559] ช่วงนี้ผมเริ่มออกงานบ่อยขึ้น ทำให้รู้จักคนในวงการมากขึ้น เปิดโลกมากขึ้น ผมเลยตัดสินใจย้ายงานอีกครั้ง เพราะว่าอยากได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในสายงานเดิม ซึ่งเขา Offer มา 40,000 บาท ซึ่งผมก็ทำมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
===========================================================
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากชีวิตนี้
1. ชีวิตมันคือการ Connect Dot จริง ๆ ครับ ถ้าวันนั้นผมเรียนดนตรี วันนี้ผมก็คงไม่มาถึงจุดนี้ ไม่มีอะไรที่เราตัดสินใจผิดพลาดหรอกครับ มีแต่ว่าตัดสินใจแบบนี้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ทุกความผิดพลาดไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่
2. จงหาสิ่งที่ตัวเองถนัด และชอบจริง ๆ และลงมือทำครับ
3. จงสรรหาความเป็นเลิศ แล้วความสำเร็จจะมาหาเราเองครับ
4. (อันนี้สำคัญมาก) ขายตัวเองให้เป็นครับ ยุคนี้มี Facebook ยิ่งง่ายครับ เราเอาตัวเราเข้าไปหาโอกาสครับ ใครที่อยู่ในสายงานเราที่ดัง ๆ ก็ลองแอดเพื่อนไปครับ จากนั้นก็ลองโพสอะไรที่เราวิเคราะห์มาแล้ว หรืออะไรก็ได้ ให้คนอื่นเห็นว่าเราโปรในด้านนี้จริง มีงาน Meetup ต่าง ๆ ก็เอาหน้าไปให้เขาเห็น สร้างความรู้จัก สร้าง Connection บ้างครับ ยุคนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราไม่สามารถก้าวหน้าด้วยตัวคนเดียวครับ ยิ่งตำแหน่งสูง ๆ ยิ่งต้องหา Connection ครับ ผมพูดเลย
5. อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ครับ ถ้าขี้เกียจมาก ๆ ให้ดูวิดีโอเอาครับ ในยูทูปมีทุกอย่างที่คุณต้องการครับ ผมก็ใช้วิธีดูยูทูปเหมือนกัน
6. หัดตั้งคำถามกับงานที่ทำบ้าง จะทำให้เราไม่หยุดเรียนรู้ครับ ค้นหา Philosophies (ปรัญชา) ของแต่ละอย่างว่ามีที่มาอย่างไร จะช่วยให้เราเข้าใจงานที่เราทำมากขึ้น
7. ถึงตอนนี้ผมก็ยังอยากเรียนมหาลัยอยู่ ผมเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้สัมผัสชีวิตมหาลัยว่าเป็นอย่างไร การรับน้อง การทำกิจกรรมกับเพื่อน ฯลฯ เสียดายมากครับ สำหรับใครที่ยังเรียนผมก็ยังสนับสนุนให้เรียนต่อไป เรียนให้จบ ป.เอก เลยก็ดีครับ ถ้ามีเงิน ผมนี่อิจฉาสุด ๆ
จบครับ ใครมีคำถามอะไรสอบถามได้ครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนอ่านบ้างนะครับ
ส่วนข้อสงสัยที่ว่าเหตุใดสายงานที่เขาทำอยู่นั้นจึงให้เงินเดือนสูงได้ เขาได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ในความคิดเห็นที่ 4-1 ไว้ดังนี้
สายงานโปรแกรมเมอร์ เค้าไม่สนวุฒิกันครับ อีกอย่างบริษัทเงินเดือนประมาณนี้ส่วนใหญ่ เป็น บ ต่างชาติ ถ้าคุณได้ภาษาอังกฤษ และความสามารถถึง ไม่มีเหตุอะไรที่เขาจะไม่รับคุณครับ และคุณยังจะสามารถเติบโตไปได้เรื่อย ๆ จนถึงขั้น Senior ยิ่งถ้าเป็นภาษาที่ตลาดต้องการอย่างเช่น .Net หรือ Java เงินเดือนเป็นแสน ๆ ก็มีครับ
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : ล็อกอิน ZenithForte เว็บไซต์ http://pantip.com/topic/35771703
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ