ราชกิจจาฯ เผยแพร่ประกาศตั้ง”คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ”

Advertisement   Advertisement เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ลงนามโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ระบุว่า ตามที่มาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเพื่อเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่าง ๆให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมายดังกล่าวและมาตรา 275บัญญัติให้มีกฎหมายว่าด้วยการจัดทำ การกำหนด เป้าหมาย ระยะเวลาที่จะบรรลุเป้าหมาย สาระที่พึงมีและเรื่องอื่น ๆ ซึ่ง ขณะนี้มีการตราพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 ขึ้นแล้ว โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเป็นผู้มีหน้าที่และอำนาจดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติขึ้นโดยอาจแบ่งออกเป็นคณะต่าง ๆ Advertisement เพื่อพิจารณาจัดทำร่างยุทธศาสตร์ชาติด้านต่าง ๆ ต่อไป นั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 12 (4) และ (6) และมาตรา 28 (1) แห่งพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560 จึงมีมติให้แต่งตั้ง รองประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ […]

สมศ.ย้ำชัด ไม่ประเมินโรงเรียนจัดฉาก-แห่แหนต้อนรับอลังการ! หากพบจะเดินทางกลับทันที-ไม่ประเมินใดๆอีก!

  ผอ.สมศ. เชิญต้นสังกัดสถานศึกษามารับรู้หลักการประเมินคุณภาพการศึกษา เพื่อการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ ย้ำชัดเจนไม่ประเมินโรงเรียนจัดฉาก 21 ส.ค.60 รศ.ดร.ณมน จีรังสุวรรณ ผอ.สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สมศ.ได้เชิญหน่วยงานต้นสังกัดสถานศึกษาเข้าร่วมประชุมในโครงการส่งเสริม เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับความสำคัญและหลักการประเมินคุณภาพการศึกษา เพื่อการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ โดย สมศ.ได้แจ้งให้ทราบถึงแนวทางและหลักเกณฑ์การประเมินที่มีการเปลี่ยนแปลง โดยการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ จะเน้นการประเมินตามสภาพการปฏิบัติงานจริง ไม่เพิ่มภาระด้านเอกสารแก่ผู้รับการประเมิน ไม่มีการตัดสินว่าผ่านหรือไม่ผ่าน และนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อความรวดเร็ว น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ผอ.สมศ.กล่าวต่อไปว่า ที่สำคัญสมศ.ต้องการรื้อทิ้งวัฒนธรรมต้อนรับการประเมิน ทั้งการเกณฑ์ครูและนักเรียนมาตั้งแถวรอรับผู้ประเมินตั้งแต่หน้าประตูโรงเรียน รวมถึงการจัดขบวนแห่ วงดนตรี การแสดง ป้ายไวนิล จัดทำทางเท้าเป็นพิเศษ การจัดเตรียมดอกไม้พวงมาลัย และซุ้มดอกไม้ประดับตกแต่ง จัดสำรับอาหาร และของที่ระลึกราคาแพง “วัฒนธรรมเตรียมการต้อนรับผู้ประเมินที่ผ่านมาเป็นการสร้างภาระให้โรงเรียนต้องเตรียมการแบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อเตรียมรับการประเมินเพียงไม่กี่วัน ที่สำคัญยังเป็นการลงทุนที่สิ้นเปลือง และเสียค่าใช้จ่ายมาก ดังนั้นในการประเมินภายนอกรอบสี่นี้ สมศ.จึงประกาศห้ามสถานศึกษาเตรียมวัฒนธรรมการต้อนรับเหมือนในอดีตอย่างเด็ดขาด โดยให้จัดการเรียนการสอนตามปกติ เพื่อผู้ประเมินจะได้ประเมินคุณภาพตามความเป็นจริง หากพบพฤติกรรมการต้อนรับใหญ่โต จะเดินทางกลับทันที ซึ่งจะส่งผลให้สถานศึกษาเสียโอกาสได้รับการประเมิน เพราะสมศ.จะไม่กลับไปประเมินอีก จนกว่าจะถึงรอบการประเมินต่อไป”รศ.ดร.ณมน กล่าว ข่าวจาก : เดลินิวส์ออนไลน์

ปิดฉากตู้สีแดง?! ไปรษณีย์ไทยอัพเกรดตู้ไปรษณีย์สีแดง เปลี่ยนสี-แปลงร่างเป็นตู้อัจฉริยะ ไม่ใช่แค่ส่งจดหมาย ชาร์จแบตฯมือถือก็ได้ด้วย!

  เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด สำนักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ พล.อ.สาธิต พิธรัตน์ ประธานกรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดเผยในโอกาสก้าวสู่ 15 ปี ของ ปณท. และ 134 ปี กิจการไปรษณีย์ไทย ว่า ได้เดินหน้าปรับตัวและยกระดับสู่ “ไปรษณีย์ 4.0” เริ่มนำร่องด้วยการปรับปรุงตู้ไปรษณีย์สีแดง สำหรับส่งจดหมายที่มีอยู่ทั่วประเทศ ให้เป็นนวัตกรรมตู้ไปรษณีย์อัจฉริยะในยุค 4.0 ภายใต้ชื่อ “พี่ตู้รู้ทุกเรื่อง” ที่ปรับใหม่ให้มีสีสันสดใส และเปลี่ยนตู้ไปรษณีย์ธรรมดาให้สามารถให้ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงได้เพียงสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อเป็นการส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยว และผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นให้มีการไหลเวียนมากขึ้น   ปัจจุบันนำร่องติดตั้งตู้ดังกล่าวในจังหวัดพิษณุโลก จำนวนทั้งสิ้น 15 ตู้ กระจายไปทุกอำเภอในจังหวัด และสามารถให้บริการได้แล้ว พร้อมกันนี้มีแผนจะขยายไปพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ ทั้ง 76 จังหวัดภายในปีนี้ ซึ่งจะเน้นในเขตพื้นที่ท่องเที่ยว และหากไม่ทันภายในปีนี้จะต้องให้แล้วเสร็จในปีหน้า โดยกรุงเทพฯ […]

ตัดสิทธิจริงไม่ได้ขู่! กระทรวงการคลังตัดสิทธิ “จนไม่จริง” แอบลงทะเบียน2ล้านราย!

  9 ส.ค.60 นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์โครงการพัฒนาระบบชำระเงินอิเล็กทรอกนิกส์ (อีเพย์เมนท์) มาตรการการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ว่า การลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย 14.1 ล้านคน กระทรวงการคลังได้ตรวจสอบรายชื่อเบื้องต้น มีการตัดสิทธิ์ไปแล้วกว่า 2 ล้านคน ทำให้เหลือผู้มีรายได้น้อยอยู่กว่า 11 ล้านคน โดยการตัดสิทธิ์ส่วนใหญ่จากการที่กรมสรรพากรได้ตรวจรายได้และทรัพย์สิน ซึ่งไม่ตรวจตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ เพราะรัฐบาลอยากช่วยเหลือบุคคลที่จนจริงๆ หากช่วยเหลือทั้งหมดจะไม่มีงบประมาณที่เพียงพอ โดยตัวเลขผู้ที่มีสิทธิ์รับสวัสดิการอย่างแท้จริง ยังต้องรอนักศึกษาออกสำรวจผู้มีรายได้น้อยให้เสร็จสิ้นก่อน ขณะเดียวกันการช่วยเหลือด้านสวัสดิการกับผู้ที่มีสิทธิ์จะพยายามกระจายไปทั่วประเทศ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพราะความต้องการในการดำรงชีพแตกต่างกัน โดยในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าจะมีการเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบมาตรการสวัสดิการคนจนเบื้องต้น เช่น ลดค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ซื้อสินค้าที่จำเป็นในร้านธงฟ้า ขึ้นรถไฟฟรี รถเมล์ฟรี ที่จะมีการติดตั้งเครื่องรับบัตรสวัสดิการรอบแรกบนรถเมล์ประเภทธรรมดา 800 คัน ขยายไปจนถึง 2,000 คันในต้นปีหน้า นอกจากนี้  ทางกระทรวงคมนาคม ยังได้มีข้อเสนอให้บัตรสวัสดิการของผู้มีรายได้น้อย ขยายไปยังบริการรถไฟฟ้าด้วย เนื่องจากต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสได้เดินทางโดยรถไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) อยู่ว่าเป็นไปได้หรือไม่ […]

กระทรวงแรงงานย้ำ นายจ้างห้ามเก็บเงินประกันฯ ลูกจ้าง นอกเหนือที่กฎหมายกำหนด

  เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม  นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) เปิดเผยว่า พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541  กำหนดห้ามไม่ให้นายจ้างเรียกหลักประกันการทำงานและหลักประกันความเสียหายจากการทำงาน ไม่ว่าจะประกันด้วยเงิน ประกันด้วยบุคคล หรือประกันด้วยทรัพย์ เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานที่ทำนั้น ลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้ นอกจากนี้กฎหมายยังได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานไว้ด้วย เช่น ลักษณะหรือสภาพของงานที่นายจ้างจะเรียกเก็บหรือรับหลักประกันการทำงานได้ อาทิ งานสมุห์บัญชี งานพนักงานเก็บหรือจ่ายเงิน เป็นต้น ประเภทของหลักประกันฯ จำนวนเงิน ตลอดจนวิธีการเก็บรักษา จึงขอให้นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการศึกษาและปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกเก็บหรือรับหลักประกันการทำงาน หรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง พ.ศ. 2551 ได้ระบุลักษณะหรือสภาพของงานที่นายจ้างจะเรียกเก็บหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้างได้ ได้แก่ 1.งานสมุห์บัญชี  2.งานพนักงานเก็บหรือจ่ายเงิน  3.งานควบคุมหรือรับผิดชอบเกี่ยวกับวัตถุมีค่าคือ เพชร พลอย เงิน ทองคำ ทองคำขาว และไข่มุก  4.งานเฝ้าหรือดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินของนายจ้างที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายจ้าง  5.งานติดตามหรือเร่งรัดหนี้สิน  6.งานควบคุมหรือรับผิดชอบยานพาหนะ  และ 7.งานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการคลังสินค้า […]

อย่าเชื่อข่าวลือ! ธนาคารออมสินชี้แจงข่าวลือมีเลข8-28ในบัตรประชาชนไปรับเงินฟรี-ไม่เป็นความจริง! วอนหยุดแชร์มั่ว! ใครอ้างระวังผิดกฎหมายมาตรา112

  เมื่อวันที่ 8 ส.ค. จากกรณีที่มีข่าวลือแพร่ในโลกออนไลน์ว่าธนาคารออมสิน และอ้างอิงถึงสถาบัน เกี่ยวกับเลข 8 และ 28 ในบัตรประจำตัวประชาชน ถ้าใครมีเลขทั้ง 2 ตัวให้ไปรับเงินได้ฟรีที่ธนาคารออมสินนั้น ธนาคารออมสินขอชี้แจงว่า ข้อความและการกระทำดังกล่าวไม่ได้เผยแพร่กออกจากธนาคารออมสิน และธนาคารออมสินไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น โดยขอย้ำว่าข้อความหรือข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ขอให้ประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ และขอให้หยุดแชร์ข้อความดังกล่าวทันที เนื่องจากส่วนหนึ่งของข้อความมีการอ้างถึงสถาบัน ทำให้ผู้กระทำและผู้เผยแพร่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งยังทำให้ธนาคารออมสินเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกด้วย ดังนั้น หากผู้ใดทราบเบาะแสที่มาของข้อความดังกล่าวโปรดแจ้งให้ธนาคารออมสินได้ทางศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน โทร.1115 เพื่อที่ธนาคารฯ จะได้ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการดังกล่าวต่อไป ข่าวจาก : ข่าวสดออนไลน์  

กระทรวงการคลังเพิ่มเบี้ยชราอีกคนละ100-200/เดือน-หั่นวงเงินช่วยผู้มีรายได้น้อยเหลือ4.6หมื่นล้าน

  คลังแจงแจกเงินคนชราได้อีกคนละ 100–200 บาทต่อเดือน ยันภาษีบาปที่เพิ่มขึ้น 2% ไม่กระทบคอทองแดงและสิงห์อมควัน ขณะที่มาตรการช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อย ถูกหั่นงบเหลือ 46,000 ล้านบาท “อภิศักดิ์” มั่นใจอุ้มได้หมดทุกคน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอหลักเกณฑ์และแนวทางการมอบสวัสดิการให้กับผู้มีรายได้น้อยให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ขณะที่ความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการแห่งรัฐนั้น ขณะนี้อยู่ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่กำลังพิจารณาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบ ประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 ซึ่งสำนักงบประมาณปรับลดวงเงินของกองทุนฯ ลงจาก 50,000 ล้านบาท เหลือ 46,000 ล้านบาท แต่ไม่น่ามีปัญหาและคาดว่า วงเงินดังกล่าวจะดูแลสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยได้ ส่วนเรื่องกองทุนผู้สูงอายุที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามกระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ผู้สูงอายุฉบับที่…พ.ศ. …โดยมีสาระสำคัญให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่เรียกว่าภาษีบาป อันเกี่ยวข้องกับสุราและยาสูบ เพิ่มขึ้นอีก 2% เพื่อจัดสรรเงินสมทบกองทุนผู้สูงอายุ วงเงิน 4,000 ล้านบาทนั้น เป็นแนวทางเพื่อให้กองทุนผู้สูงอายุมีเงินเพิ่มขึ้น หลังจากที่ผ่านมาได้รับงบประมาณจำกัด […]

รัฐบาลเชิญชวนร่วมบริจาคช่วยเหลือน้ำท่วม สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้!

  เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 1 สิงหาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการรับบริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมในภาคเหนือและอีสานว่า สามารถบริจาคได้ที่บัญชีบริจาคเพื่อช่วยเหลือประชาชน กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ธนาคารกรุงไทย สาขาทำเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067 0 06895 0 นอกจากนี้ ในวันที่ 4 สิงหาคม รัฐบาลจะจัดรายการพิเศษเพื่อระดมทุนช่วยเหลือประชาชน เริ่มเวลา 18.00 น. มีถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี และช่องเอ็นบีที “อยากเชิญชวนพี่น้องประชาชน หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ช่วยกันช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัย และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ไม่ใช่เพียงแค่การบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แต่สามารถบริจาคกับหน่วยงานเอกชนที่ใดก็ได้ แต่หน่วยงานเหล่านั้นจะต้องขึ้นบัญชีกับกรมสรรพากรจึงจะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว ข่าวจาก : matichonweekly.com

ครม.อนุมัติขึ้นภาษีบาป เหล้า-บุหรี่% หาเงินจ่ายเบี้ยคนชรา

  นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ(ฉบับที่…)พ.ศ…. ซึ่งกำหนดให้กองทุนผุ้สูงอายุมีอำนาจในการกักเก็บเงินของกองทุน จากผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิต ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับค่าสุราและยาสูบ ตามกฎหมายที่ว่าด้วยภาษีสรรพสามิตในอันตรา 2% รวมไปถึงสุรา เบียร์ ยาสูบ เพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำเนินการวงเงินปีละไม่เกิน 4,000 ล้านบาท เพื่อจัดสรรเงิน ให้เป็นไปตามรายได้ของกองทุนผู้สูงอายุหรือจัดสรรเพิ่มเติมจากเบี้ยคนชราเดิมที่ได้รับ นอกจากเก็บเงิน 4,000 ล้านบาท ที่จะได้จากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตอัตรา 2% แล้ว ยังมีการจัดโครงการให้ผู้ที่มีเบี้ยยังชีพในปัจจุบันบางส่วนที่มีรายได้สูง หรือ คนรวย มีรายดี สามารถแสดงเจตจำนงค์บริจาคให้กับกองทุนนี้ กฎหมายฉบับนี้จึงมีให้สามารถรับเงินบริจาคจากผู้ที่สูงอายุ และจะตัดสิทธิ์เบี้ยยังชีพนี้โดยสมัครใจ คาดว่าส่วนนี้จะมีเงินอีก 4,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังคิดว่าจะมีมาตราการชักจูงใจและเชิดชูผู้ที่เสียสละเงินดังกล่าวให้ผู้ที่ต้องการใช้เงินและผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ทั้งหมดนี้เป็นการเก็บภาษีตามแผนที่มา อยากเห็นเบี้ยยังชีพในผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยเท่านั้น ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่งสังคมผู้สูงวัย และมีผู้สูงอายุจำนวนมาก และในส่วนนี้เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย หรือคนแก่ที่ยากจน จากการสำรวจผู้มีรายได้น้อยในปี 2559 พบว่า มีผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนรายได้น้อยมีจำนวน 2.3 ล้านคน จากจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด 3.5 ล้านคน ซึ่งคิดว่าปีนี้จะมีผุ้สูงอายุที่มีรายได้น้อยเพิ่มขึ้นถึง 3 ล้านคน […]

ส.ค.ศ.ท.เร่งหาข้อสรุปหลักสูตรนักศึกษาครู4ปีหรือ5ปี ก่อนประชุม1ก.ย.นี้

  “ประพันธ์ศิริ”ส่งหนังสือถึงคณบดีคณะครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ เร่งประชุมเชิงลึกผู้เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อสรุปผลิตครูจะ 4ปีหรือ5ปี ก่อนนำมาเสนอส.ค.ศ.ท. 1 ก.ย.นี้ 31ก.ค.)รศ.ดร.ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์ /ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) เปิดเผยว่า ตามที่นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐ์ศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ มอบหมายให้คณะครุศาสตร์ /ศึกษาศาสตร์ มาตกลงกันเองว่า หลักสูตรครูควรจะเป็นหลักสูตร4ปี หรือ5ปี แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็อาจมีทั้ง 2ระบบ โดยต้องได้ข้อสรุปภายใน 2เดือนนั้น ขณะนี้ตนได้แจ้งคณบดีคณะครุศาสตร์ /ศึกษาศาสตร์ทั่วประเทศ ให้ไปประชุมกับคณาจารย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ว่า จะตัดสินใจผลิตครูหลักสูตร 4 ปี หรือ 5 ปี โดยขอให้ทำการศึกษา ค้นคว้า และรวบรวมข้อมูลด้วยกระบวนการที่ลุ่มลึก รอบด้าน รอบคอบและมีความน่าเชื่อถือ ก่อนที่จะสรุปว่าจะใช้หลักสูตรไหน เพราะหากยังมีความเห็นที่แตกต่างกันก็อาจต้องมีการผลิตครู 2 ระบบก็ได้ และหากต่างคนต่างทำก็จะขาดความเป็นเอกภาพได้เช่นกัน ทั้งนี้ขอให้ทุกสถาบันผลิตครูส่งข้อสรุปมา เพื่อนำทั้งหมดไปหารือในการประชุม ส.ค.ศ.ท.วันที่ 1ก.ย.ต่อไป "ส.ค.ศ.ท.จะต้องการทำการศึกษา วิจัย ร่วมมือกันอย่างจริงจังและจริงใจ โดยจะทำทุกอย่างเพื่อสร้างคุณภาพ ความเข้มแข็ง […]

1 982 983 984 1,012
error: