ใครๆก็ชอบชีส!!!ถึงจะเลี่ยนแต่มีประโยชน์

Advertisement Advertisement รู้กันหรือไม่ครับว่าชีสคือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม โดยการนำเอาส่วนของโปรตีนของนมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ความอร่อยของชีสนั้นอยู่ที่ความหอม มัน กลมกล่อมเข้มข้นวิธีการทำก็คือใช้เอนไซม์ที่มีชื่อว่าเรนนินซึ่งมันจะทำให้โปรตีนที่แขวนลอยอยู่ในนมที่จับตัวเป็นก้อนซึ่งที่่ว่านั้นก็คือชีสนั่นเอง แต่เป็นชีสสดที่ยังไม่ได้ผ่านการบ่มเพาะแบคทีเรียหรือการปรุงแต่งรสชาติให้มีหลากหลายมากขึ้น ชีสกับประโยชน์ดังต่อไปนี้ -ช่วยบำรุงกระดูก  ชีสอุดมไปด้วยสารอาหารที่เหมาะสำหรับเด็กวัยเจริญเติบโตเพราะชีสให้พลังงาน แคลเซียม และโปรตีนสูง  ลดการเกิดโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุได้ -ช่วยดูแลรักษาสุขภาพฟัน  ช่วยป้องกันฟันผุโดยโปรตีนในรูปแคลเซียมและฟอสฟอรัสในชีสจะเป็นตัวช่วยป้องกันสารเคลือบฟัน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มฟองน้ำลายที่ช่วยล้างกรดและน้ำตาลในช่องปากอันเป็นสาเหตุของฟันผุทั้งยังมีน้ำตาลในปริมาณต่ำ  Advertisement -ช่วยควบคุมน้ำหนัก ท่านอ่านไม่ผิดครับ!!  สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักและคลอเรสเตอรอล แต่ชื่นชอบการรับประทานก็สามารถเลือกทานชีสประเภทไขมันต่ำ เพราะจะมีคลอเรสเตอรอลต่ำด้วยเช่นกันและโปรตีนสูงเพราะโปรตีนช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอยู่ท้องได้นานกว่าประเภทข้าวขัดสี จึงทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิวหรือว่าหิวช้า -ช่วยเพิ่มน้ำหนัก ชีสบางประเภทอุดมด้วยไขมันสูงทำให้ได้พลังงานจากไขมันเพราะฉะนั้นการบริโภคในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็จะช่วยให้ได้พลังงานสูงและช่วยเพิ่มน้ำหนักได้ -ช่วยซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกาย เพราะชีสเป็นแหล่งที่มาของโปรตีนที่ดีคือมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณสูง อีกทั้งเป็นสารอาหารที่สำคัญของร่างกายเพราะ 80 เปอร์เซ็นต์ของร่างกายประกอบด้วยโปรตีน ถ้าเราได้รับโปรตีนเพียงพอจะช่วยให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่นและช่วยประสานแต่ละเซลล์ให้ยึดติดกันเป็นเนื้อเดียว ช่วยปกป้องริ้วรอย รวมถึงเพิ่มความแข็งแรงให้แก่เส้นผมและเล็บ  แต่!! ทุกอย่างต้องมีความพอดีนะครับ ถ้ารับประทานในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกายและไม่มีการออกกำลังกาย ก็จะทำให้อ้วนได้เช่นกัน ดังนั้นจึงจะต้องรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่และออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงนะครับ    เรียบเรียงโดย Thaijobsgov  ข้อมูลจาก beyc.co.t ขอบคุณภาพจาก Google.com [ads=center]

แจกสูตร!! ยำแหนมสดรสแซ่บจัดจ้าน!!

  แหนมคลุกหรือยำแหนมสด เป็นอีกหนึ่งเมนูที่เรียกได้ว่าแซ่บจัดจ๊านครบเครื่อง สามารถรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเวลามีสังสรรค์กับเพื่อนๆที่บ้าน เมนูนี้เรียกได้ว่าเหมาะสุดๆ วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการทำแหนมคลุกหรือยำแหนมสดกันครับ ส่วนผสมในการทำยำแหนมสดมีดังนี้ ข้าวหุงสุก 1 ถ้วย (ใช้ข้าวค้างคืนก็ได้) พริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต้ะ น้ำปลา 2 ช้อนโต้ะ น้ำตาล 1 ช้อนโต้ะ แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต้ะผสมน้ำเปล่า 4 ช้อนโต้ะ ไข่ไก่ 1 ฟอง หนังหมูลวกสุกซอย 2 ช้อนโต้ะ พริกป่น 1 ช้อนโต้ะ แหนมสด 2-3 ชิ้น น้ำมะนาว 2 ช้อนโต้ะ น้ำปลา 2 ช้อนโต้ะ ถั่วลิสงคั่ว 2 ช้อนโต้ะ ขิงซอย 2 ช้อนโต้ะ หอมแดงซอย 2 ช้อนโต้ะ ต้นหอมซอย 1 […]

แหม่!! มันเจ็บใจ…มารู้จักอาการหัวใจสลายหรือโรคอกหัก

เวลาที่มนุษย์เรามีความรัก สมองจะหลั่งสารโดปามีน (Dopamine) ซึ่งทำให้เรานั้นเกิดความพึงพอใจ มีสมาธิ กับสารออกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งมีหน้าที่ลดความเครียด คลายความกังวล และทำให้รู้สึกอบอุ่นกับคนที่มีความผูกพันด้วย และยังมีสารเอนดอร์ฟิน (Endorphine) ที่ทำให้คนรู้สึกมีความสุข เวลาที่เรามีความรัก เราจึงรู้สึกมีความสุข ทำอะไรก็ดีไปหมด!! แถมรู้สึกอุ่นใจที่มีความรัก   แต่พอถึงเวลาโดนบอกเลิก!! อกหักขึ้นมา ฮอร์โมนที่สร้างความเครียดที่เรียกว่า คอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลีน (Adrenaline) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กดการทำงานของสมอง ซึ่งปกติแล้ว เวลาที่เรารู้สึกเครียดมันก็จะหลั่งออกมาหรือเวลาที่เราตกอยู่ในอันตราย เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ก็จะหลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตและส่งสัญญาณไปที่สมอง ฮอร์โมนคอร์ติซอล จะทำให้ร่างกายต้องการเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมากขึ้นและฮอร์โมนอะดรีนาลีนทำให้หัวใจเราสูบฉีดและหัวใจเต้นแรง โดยปกติแล้วสารทั้งสองจะมีประโยชน์สำหรับการกระตุ้นร่างกายในทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อรับมือกับอันตราย  ถึงแม้ว่าฮอร์โมนทั้งจะทำให้เราต่อสู้กับอันตรายได้ แต่ถ้ามันเป็นอันตรายภายในใจเราเอง ซึ่งมันไม่มีความจำเป็นที่จะใช้พลังงานเพื่อเอาตัวรอดแบบอันตรายภายนอก มันก็จะทำให้เจ็บหัวใจเพราะว่าหัวใจทำงานหนัก เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ็บหัวใจเมื่อเสียใจหรืออกหัก อาการดังกล่าว แพทย์จะเรียกว่า “กลุ่มอาการหัวใจสลาย” (Broken Heart Syndrome) หรือ “โรคอกหัก” โดยมีรายงานการค้นพบครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1990 ในเอเชีย ซึ่งงอาการนี้อาจทำให้คนเสียชีวิตได้เหมือนโรคหัวใจหรืออาจจะเรียกว่าอาการตรอมใจ วิธีการบรรเทาอาการหัวใจสลายขั้นพื้นฐาน สามารถทำได้ ได้แก่ การร้องไห้ การหัวเราะ การออกกำลัง การนั่งสมาธิ การได้ทำสิ่งที่ชอบ การได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำหรือการได้พูดระบายความในใจกับใครซักคนที่เราไว้ใจ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถลดอาการหัวใจสลายได้แล้วครับ   เรียบเรียงโดย Thaijobsgov ข้อมูลจาก www.nhlbi.nih.gov/health/health-topics/topics/broken-heart-syndrome  […]

ท้องลายและผิวแตกลายงารักษาได้สุดง่าย!!!

การแตกลายงาบนผิวหนังนั้นเกิดจากมีการยืดของผิวหนังอย่างต่อเนื่อง มีทั้งที่พบได้ในบุคคลทั่วไปและในคนที่ตั้งครรภ์, ให้นมบุตร, มีสภาวะอ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว, ในวัยรุ่น (อยู่ในช่วงอายุ 9-13 ปี) ที่มีการเปลี่ยนแปลงของการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว  การแตกลายงา ไม่ได้เกิดที่บริเวณท้องเท่านั้นนะครับ ยังพบได้ที่เต้านม, ก้น, ต้นขาด้านบนทั้งด้านในและด้านนอก, บริเวณขาหนีบ, เข่าและข้อศอก เริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นรอยนูนเป็นเส้น ๆ สีชมพู, ม่วง และเมื่อเวลาผ่านไป จะมีสีซีดลงและบุ๋มลงไปเล็กน้อย ลักษณะผิวจะเป็นรอยย่นเป็นริ้วเล็ก ๆ ในคนผิวคล้ำจะเห็นรอยแตกได้ชัดกว่าคนผิวขาว วิธีรักษา คือ ในกรณีหญิงตั้งครรภ์ เมื่อคลอดบุตรและอาการจะดีขึ้นตามลำดับ แต่สามารถป้องกันด้วยการทาโลชั่นบำรุงผิวเป็นประจำ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ก็จะทำให้มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลง ส่วนในคนที่มีน้ำหนักตัวมากหรืออ้วน ถ้าลดน้ำหนักลงมารอยแตกลายงาก็จะน้อยลง และห้ามใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยเด็ดขาด ครีมโลชั่นหรือยาทาต้องประกอบด้วยอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ เช่น tretinoin ที่จะทำให้อาการของโรคนี้ดีขึ้น และควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้รูปร่างดีและแข็งแรง รอยแยกของผิวหนังก็จะไม่เกิดขึ้น   สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นคือการไม่ปล่อยให้ตนเองน้ำหนักขึ้นมากจนเกินไปและหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอครับ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้มีสุขภาพที่ดีห่างไกลจากอาการแตกลายงาบนผิวหนัง   เรียบเรียงโดย Thaijobsgov ข้อมูลจาก Dailynews ขอบคุณภาพจาก google.com [ads=center]

ลูกๆติดสมาร์ทโฟน 4 วิธีนี้ช่วยได้!

  หากลูกๆของคุณสามารถที่จะดูการ์ตูนหรือเล่นเกมส์บนสมาร์ทโฟนด้วยสายตาจับจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือหรือแท็บเล็ตได้เป็นวัน ๆ โดยที่ไม่คิดจะทำกิจกรรมอย่างอื่นเลย นั่นแสดงว่า ลูกของคุณกำลังเสพติดการเล่นแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนแล้วหละครับ จะมีวิธีแยกลูกรักของคุณกับมือถือสมาร์ทโฟนได้อย่างไร วันนี้เรามารู้วิธีการกัน แต่ก่อนอื่นลองมาดูสัญญาณเตือนที่บอกว่าลูกของคุณกำลังติดสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต 1. เวลาที่จะให้ทำกิจกรรมอย่างอื่น จะเริ่มร้องไห้งอแงไม่อยากทำ 2.รู้สึกไม่ชอบไปโรงเรียนและแสดงออกว่าต้องการเล่นแท็บเล็ตอยู่บ้านหรือถ้าไปโรงเรียนก็จะขอนำแท็บเล็ตไปด้วย 3. สมาธิสั้นไม่อยู่นิ่ง มีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตวางอยู่ข้างหน้าตลอดเวลาโดยไม่ห่างมือ    4 วิธีแก้ปัญหาลูกๆติดสมาร์ทโฟน สามารถทำได้ดังนี้ 1. เป็นแบบอย่างที่ดี เด็กจะซึมซับพฤติกรรมจากการสังเกตุ เมื่อลูกเห็นว่าพ่อแม่หยิบหนังสือที่เป็นประโยชน์มาอ่านมากกว่ากการเล่นสมาร์ทโฟนตลอดทั้งวัน ลูกก็ทำตาม ดังนั้นในช่วงเวลาที่เป็นเวลาของครอบครัว ควรนำเครื่องมือสื่อสารออกไปและใช้เวลาพูดคุยทำกิจกรรมร่วมกับลูก 2. ทำกิจกรรมร่วมกับลูก ส่งเสริมให้ลูกได้เล่นกีฬา เล่นดนตรี การเข้าร่วมชมรมศิลปะ โดยที่พ่อแม่มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมนั้นๆด้วย เช่น เล่นฟุตบอลกับลูก วาดรูปด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์แล้วก็ยังมีคุณค่ากว่าการปล่อยให้ลูกใช้เวลากับเล่นแท็บเล็ต สมาร์ทโฟนทั้งวันโดยไม่ได้อะไรเลย 3. ออกกฎของบ้านและกำหนดเวลาชัดเจน สร้างกฎระเบียบต่าง ๆ ภายในบ้านขึ้น โดยควรมีกฎชัดเจนว่าจะไม่เล่นแท็บเล็ตสมาร์ทโฟนในเวลาที่รับประทานข้าวร่วมกัน หรือฝึกให้เขาได้ว่างแผนล่วงหน้า เช่น ก่อนเวลาทานอาหารเย็นเราต้องเตือนลูกล่วงหน้าว่าจะถึงเวลาทานอาหารเย็นแล้วอีก 10 นาที ให้วางแท็บเล็ตลง การเตือนล่วงหน้าจะทำให้ลูกรู้จักการวางแผนและเรียนรู้การเคารพสิทธิส่วนบุคคลด้วย 4. ทำรหัสผ่าน เครื่องคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และ สมาร์ทโฟน ตั้งรหัสไว้เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ลูกเข้าไปเล่นหรือดาวน์โหลดโปรแกรมต่าง ๆ ได้ตามใจและควรตั้งคอมไว้ที่ที่พ่อแม่สามารถมองเห็นและสังเกตุลูกได้ตลอดเวลา    เพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยพ่อและแม่เข้าไปแทรกตรงกลางระหว่างลูกและสมาร์ทโฟนเพื่อให้มีเวลาและใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวมากขึ้นครับ   เรียบเรียงโดย Thaijobsgov […]

้เรอเหม็นเปรี้ยวแก้ได้ง่ายๆด้วยน้ำสมุนไพรสูตรโบราณ

อาการเรอเหม็นเปรี้ยวเกิดจากการกินอาหารที่มีรสจัด มีกากน้อย ย่อยยาก อาหารสุกๆ ดิบๆ หรือกินมา กินเร็วเกินไป เคี้ยวไม่ละเอียด หรือกลืนน้ำลายบ่อยๆ ทำให้ลมเข้ากระเพราะมากเกินไปหรือไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เกิดความเครียดและกังวลทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่สมบูรณ์ วันนี้เรามีวิธีการทำน้ำสมุนไพรสูตรโบราณง่ายๆที่วัตถุดิบสามารถหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไปเพื่อนำมาดื่มแก้อาการเรอเหม็นเปรี้ยวครับ   ส่วนประกอบ : ขิงแก่ ข่าแก่ ตะไคร้ ใบสาระแหน่ น้ำมะกรูด น้ำมะนาว น้ำคั้นใบเตยหอม และน้ำเชื่อม ในสัดส่วนเท่าๆกัน  วิธีทำ : -ต้มขิง ข่า ตะไคร้ และใบสาระแหน่รวมกันใช้เวลาประมาณ 15 นาที -กรองเอาแต่น้ำแล้วทิ้งไว้ให้เย็น -เติมน้ำมะกรูด น้ำมะนาว น้ำคั้นใบเตยหอมและน้ำเชื่อมคนให้เข้ากัน  วิธีการดื่ม ให้ดื่มครั้งละ 1 แก้วหลังอาหารทันที เพื่อช่วยลดอาการเรอเหม็นเปรี้ยว   เรียบเรียงโดย Thaijobsgov ข้อมูลจาก cheewajit.com [ads=center]    

แค่ทำตามนี้ 7 วัน น้ำหนักก็ลดลงได้ถึงเกือบ 8 กิโล!!

หากคุณกำลังหาวิธีการลดความอ้วนอยู่ การอดข้าวหรือการรับประทานยาลดความอ้วนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีและไม่ถูกต้องอย่างแน่นอนครับ วันนี้เราจะมาแนะนำวิธ๊การลดความอ้วนแบบที่เห็นผลและสามารถทำได้จริงภายใน 7 วัน!! เพียงแค่ปฏิบัติตามในแต่ละวันร่วมกับการออกกำลังกายดังต่อไปนี้ครับ   วันที่ 1 : รับประทานผลไม้สดในวันแรกเพือปรับสภาพของร่างกายด้วยผลไม้ โดยรับประทานผลไม้ประเภทแตงโมหรือแคนตาลูปพร้อมกับดื่มน้ำวันละ 8-12 แก้ว ไม่ควรที่จะทานอาหารประเภทอื่นๆอีกเลย งดอาหารทอดอย่างเด็ดขาด ถ้าคุณรู้สึกห้วก็ให้รับประทานผลไม้และดื่มน้ำให้มากขึ้น วันที่ 2 :ในวันที่2นี้คุณสามารถที่จะรับประทานอาหารประเภทผักได้อย่างเต็มที่ โดยที่ผักเหล่านั้นไม่ได้ผ่านการผัดหรือทอด สำหรับอาหารผักที่แนะนำได้แก่ ถั่ว แครอท แตงกวา ผักกาดหอม กระหล่ำปลี ผักกาด อาจจะใช้วิธีการต้มแล้วรับประทานกับน้ำจิ้มสุกี้และการดื่มน้ำให้มากขึ้นก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญ  วันที่ 3 : วันที่3นี้คุณสามารถที่จะรับประทานผักและผลไม้ได้ทั้งวันแตกงดการรับประทานผักและผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงเช่น มันฝรั่งและกล้วยหอม แผนการอาหารของวันนี้เริ่มต้นด้วยการทานผลไม้เป็นอาหารเช้า ผักในมื้อเที่ยง ผลไม้ในมื้อเย็น และผักผลไม้ในมื้อดึกอีกครั้ง และอย่าลืมดื่มน้ำมากๆด้วย วันที่ 4 : กล้วยและนม คุณสามารถเตรียมกล้วยจำนวน 8-10 ลูก และนมอีก 3 แก้วสำหรับรับประทานในทั้งวัน ในช่วงวันนี้อาจจะรู้สึกหิวจนไส้กิ่วแต่ถ้าจัดสรรอาหารให้ดีก็สามารถทำให้อยู่ได้ทั้งวัน   วันที่ 5 : ในที่สุด!! วันนี้คุณก็สามารถทานข้าวได้ 1 จาน ในมื้อกลางวัน และมะเขือเทศสดจำนวนประมาณ 7-8 ผล ในวันนี้ร่างกายของคุณมีโอกาสที่จะผลิตกรดยูริคเป็นจำนวนมากจึงทำให้ต้องดื่มน้ำในปริมาณที่มากขึ้นประมาณ 12-15 แก้ว วันที่ 6 : สามารถทานข้าวกลางวันเป็นข้าวได้หนึ่งจาน ส่วนมื้ออื่นๆให้เน้นผักเป็นหลักเช่นเดิมและดื่มมากให้มากเพื่อลดอาการหิว  […]

มารู้จักประโยคเด็ด”รู้เท่าไม่ถึงการณ์” ที่จริงแล้วใช้อย่างไรกันแน่!!?

ในสมัยปัจจุบันนี้พวกเราคงจะเคยได้ยินประโยคเวลาที่ผู้ต้องหาไปกระทำความผิดมาแล้วกล่าวว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นพวกตน "รู้เท่าไม่ถึงการณ์" ในหลายต่อหลายคดีและเหมือนกับว่าจะเป็นอุปทานหมู่คือกระทำมาแล้วก็แก้ตัวด้วยประโยคนี้เหมือนๆกันหรือศัพย์ในโลกโซเชียลนั้นเรียกว่า"หงายการ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์"วันนี้เราจะมาขยายความให้ท่านรู้จักประโยคนี้มากขึ้นว่าจริงๆแล้วมีความหมายว่าอะไรและใช้อย่างไร  พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำว่า "รู้เท่าไม่ถึงการณ์" ไว้ว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ (กรรม.) หมายถึง เขลา,คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น  ยกตัวอย่างเหตุการณ์การใช้คำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ถูกต้องได้ดังต่อไป  นาย ก. ได้รับฝากของจากนาย ข. ไว้โดยที่นาย ข.แจ้งว่าจะมารับคืนในภายหลัง เมื่อตำรวจได้ทำการสืบสวนสอบสวนแล้วได้ทราบว่าของที่นาย ก.ได้รับไว้นั้นเป็นของที่ นาย ข.ได้ทำการโจรกรรมมาจึงทำให้ นาย ก.ถูกดำเนินคดีในข้อหารับของโจร โดยที่นาย ก.นั้นไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นของที่โจรกรรมมาเป็นการ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าของนั้นเป็นของโจร. จากเหตุการณ์ข้างต้นนั้นแสดงให้เห็นถึงการใช้คำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ถูกต้อง แตกต่างจากคำให้การของผู้ต้องหาในหลายๆคดี ยกตัวอย่างเช่นคดีวัยรุ่นชาย 6 คนทำร้ายร่างกายผู้พิการโดยได้รับสารภาพว่า"ทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบและรู้เท่าไม่ถึงการณ์"ซึ่งขัดกับความหมายและการใช้คำนี้เป็นอย่างมาก  ขอบคุณภาพจาก mcot.netและyoutube.com ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า "รู้เท่าไม่ถึงการณ์"เป็นการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจและไม่คาดคิดว่าการกระทำที่ได้ทำนั้นจะส่งผลเสียและผลร้ายขึ้น ขอให้ทุกท่านนำคำนี้ไปใช้ให้ถูกต้องนะครับ    เรียบเรียงโดย Thaijobsgov ข้อมูลจาก พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  ภาพจาก google.com [ads=center]

วิธีทำ”ไข่เจียวไข่มดแดง” พร้อมประโยชน์ของไข่มดแดงโดยแพทย์!!

เมนูไข่เจียวเป็นเมนูหนึ่งที่สามารถทำได้ง่ายมากๆแถมยังอร่อย โดยสามารถใส่หมูสับ กุ้งสับ ปู แหนมและอื่นๆได้สาระพัด รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆเหยาะน้ำปลานิดซอสพริกหน่อยก็อร่อยมากแล้ว! วันนี้ทางเราจะมาแนะนำเมนูไข่เจียวอีกเมนูที่ค่อนข้างหารับประทานได้ยากนั่นก็คือ ไข่เจียวไข่มดแดงครับ   วัตถุดิบประกอบไปด้วย 1.ไข่ไก่จำนวน 2 ฟอง 2.ไข่มดแดง 3 ช้อนโต๊ะหรือใส่ได้ตามชอบ 3.หอมแดงซอย 2 หัว หรือจะใช้ต้นหอมก็ได้ 4.พริกสดหั่นซอย สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มรสเผ็ดให้กับไข่เจียว 5.น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ  6.ผงปรุงรส 7.น้ำมันสำหรับเจียว   วิธีทำ 1.ล้างทำความสะอาดไข่มดแดง  ล้างเอาแป้งสีขาวออกให้หมด ล้างจนน้ำที่ล้างไข่มดแดงใสไม่เป็นสีขาวของแป้ง นำไปต้มหรือลวกให้สุกก่อนเพื่อความปลอดภัยและถูกสุขอนามัย 2.ตอกไข่ใส่ถ้วย ปรุงรสด้วยน้ำปลาและผงปรุงรส  3.ใส่ไข่มดแดง หอมซอย พริกสดหั่นลงไปแล้ว ตีให้เข้ากัน 4.ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไป ใช้ไฟแรงจัดเพื่อให้น้ำมันร้อนจัด 5.เมื่อน้ำมันร้อนจัดจนมีลักษณะควันขาวลุก ให้เทไข่ที่ตีไว้ลงไป ทอดจนไข่เหลืองสุก พลิกด้านด้านกลับให้อีกด้านเลืองสุกด้วยจากนั้นจึงปิดเตา ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟกับข้าวสวยหอมมะลิร้อนๆ ไข่มดแดงไม่เพียงแต่สามารถนำไปปรุงอาหารให้อร่อยแล้วประโยชน์ของไข่มดแดงก็มีมากเช่นกัน  นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ไข่มดแดงถือเป็นเมนูที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพราะมีโปรตีนสูง โดยในไข่มดแดง 100 กรัม หรือประมาณ 6 ช้อนกินข้าวจะมีโปรตีนสูงถึง 8.2 กรัม แถมไข่มดแดงยังมีไขมันและแคลอรีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับไข่ไก่ […]

เชื่อหรือไม่? “น้ำปลา” มีประโยชน์มากกว่าช่วยปรุงรสอาหาร!!

น้ำปลา เป็นเครื่องปรุงรสอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในอาหารไทย มีรสชาติเค็มกลมกล่อม เป็นการหมักจากปลาสดกับเกลือ ยังอุดมไปด้วยสารอาหารจำเป็นต่อร่างกายอย่างโปรตีน ซึ่งนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ ยืนยันว่า น้ำปลาเป็นแหล่งโปรตีนและกรดอะมิโนจำเป็นให้กับผู้ที่ขาดสารอาหารจำพวกนี้ได้ อาจารย์ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล ซึ่งได้วิจัยเกี่ยวกับน้ำปลามากว่า 30 ปี กล่าว่า คนที่กินอาหารมีประโยชน์ครบ 5 หมู่ เป็นประจำอยู่แล้ว อาจไม่เห็นผลชัดเจนจากประโยชน์ของน้ำปลานอกจากรสชาติอร่อย น้ำปลาไม่ได้มีประโยชน์แค่ช่วยปรุงรสอาหารเพิ่มความเค็มเท่านั้น แต่ในน้ำปลายังมีสารอาหารต่างๆ อยู่อีกมากมา เช่น โปรตีน กรดอะมิโน โดยเฉพาะกรดกลูตามิก และยังมีพวกสารประกอบไนโตรเจน วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ อีกหลายชนิด นักวิจัยยังได้กล่าวอีกว่า ผู้ที่ขาดแคลนสารอาหารจำพวกโปรตีน น้ำปลาชั้นเลิศ 2 ช้อนโต๊ะ สามารถทดแทนโปรตีนให้กับผู้ที่ขาดสารอาหารประเภทนี้ได้ถึง 7% ของปริมาณโปรตีนที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันและในคนปกติบริโภคได้ในกรณีที่ใส่ในอาหารอย่างมากที่สุดประมาณ 15-30 ซีซี หรือราว 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยไม่ควรบริโภคมากกว่านี้เนื่องจะส่งผลเสียต่อสุขภาพซึ่งการบริโภครสเค็มจัดจะสามารถทำให้เกิดโรคไตและความดันโลหิตสูงได้    เรียบเรียงโดย Thaijobsgov ข้อมูลจาก manager.co.th ภาพจาก Google.com [ads=center]  

1 2,953 2,954 2,955 2,960
error: