ต้องอ่าน !! ปวดตามจุดต่างๆ ร่างกาย บ่งบอกถึงอะไร

Advertisement อาการเจ็บปวดเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักสร้างความกังวลเพราะนอกจากจะไม่รู้ที่มาแล้ว เรายังไม่อาจเห็นสภาพภายในได้ เรื่องนี้นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มีข้อมูลมาไขข้อข้องใจโดยเฉพาะอาการปวด 10 จุด ต่อไปนี้ Advertisement ‘เจ็บต้นคอร้าวแขน‘ เจ็บนี้ต้องระวังเส้นประสาทต้นคออาจถูกกดหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ยกของหนักที่ผ่านมาได้ ‘เจ็บแขนร้าวปลายมือ‘ ดูเรื่องเส้นประสาทให้ดีมีสิทธิ์เกิดจากพังผืดไปรัดเส้นประสาทหรือเกิดมาจากศูนย์รวมประสาทที่ต้นคอก็ยังได้ [ads]   ‘ปวดศีรษะร้าวต้นคอ‘ อาจเป็นเพียงกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงเวลามีความเครียดธรรมดา แต่ถ้ามีตาพร่าบวกคลื่นไส้อาเจียนด้วยก็ต้องจับตาอาการด้านสมอง ‘ปวดหลังร้าวลงขา‘ น่าจะเกิดจากหมอนรองกระดูกกดเส้นประสาทเป็นหลัก โดยเฉพาะหลังส่วนบั้นเอวเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ การดูว่าปวดหลังถึงขั้นไหนให้ดูอาการร้าวลงขา ‘เจ็บอกวิ่งไปแขนซ้าย‘ ร้ายเสียยิ่งกว่าอกหักเพราะมักเกี่ยวถึงโรคหัวใจขาดเลือด ให้สังเกตอาการปวดว่าเหมือนถูกบีบหรือถูกงูเหลือมตัวใหญ่รัดด้วยหรือไม่ ‘ไอแล้วปวดร้าวลงก้นกบ‘ บางคนเวลาไอหรือเบ่งท้องแรงๆ แล้วมีอาการเจ็บร้าวไปหลังหรือก้นกบเบื้องล่างทุกครั้ง ต้องเฝ้าระวังโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น Advertisement ‘เจ็บท้องน้อยร้าวลงหน้าขา‘ ในสตรีต้องระวังเรื่องอุ้งเชิงกรานอักเสบ ส่วนในหนุ่มๆ ให้ระวังนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีไข้ร่วมด้วยให้ช่วยระวังการติดเชื้อเป็นหลัก ‘เจ็บท้องส่วนอื่นๆ แล้วร้าวทะลุหลัง‘ อาการเจ็บหน้าไปหลังเช่นนี้ถ้าเป็นที่ตับ คือ ด้านบนขวาให้นึกถึงถุงน้ำดีที่อาจไม่ดีสมชื่อ เพราะนี่เป็นสัญญาณนิ่วในถุงน้ำดีหรือถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนถ้าเจ็บตรงกลางร่วมกับไข้สูงให้นึกถึงตับอ่อนอักเสบ (Acute pancreatitis) แบบเฉียบพลัน ‘เจ็บบั้นเอวแถวสีข้างร้าวลงขา‘ ยิ่งถ้าเจ็บบั้นเอวด้านใดด้านหนึ่งแล้วร้าวด้วย ให้นึกถึงก้อนนิ่วในกรวยไตหรือท่อไต ในบางรายอาจมีท่อปัสสาวะอักเสบร่วมกับมีไข้ รู้สึกหนาวและปัสสาวะปนเลือดอีก หากเป็นเช่นนี้แนะให้ช่วยรีบไปตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์หรืออัลตร้าซาวน์ และสุดท้าย ‘เจ็บตามผื่นแล้วร้าวลงเส้นประสาท‘ การที่มีผื่นเป็นตุ่มน้ำใสแล้วมีอาการแสบร้อนหรือเคยมีประวัติโรคเริม งูสวัด ให้ระวังอาการปวดร้าวไปตามปลายประสาท แม้ไม่มีผื่นแล้วก็อาจทิ้งอาการแสบร้อนไว้ได้ บางรายเจ็บแสบอยู่ตามแนวเส้นประสาทเป็นครั้งคราว คุณหมอกฤษดา ย้ำว่า สัญญาณเจ็บร้าวทั้งสิบที่ว่ามาเป็นวิธีดูคร่าวๆ เท่านั้น แต่ก็ช่วยทำให้ได้ร่องรอยของโรคที่ซ่อนอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม อาการเจ็บปวดตามร่างกายทางที่ดีที่สุดคือ พบแพทย์แล้วตรวจหาความผิดปกติให้ทราบชัดเจนชัวร์กว่า [ads=center] ขอบคุณที่มา – สาระน่ารู้ดีดี.com

รักษา “สายตาสั้น’ ด้วยวิธีธรรมชาติ

วิธีรักษา "สายตาสั้น' ด้วยวิธีธรรมชาติ   หากสายตา ของคุณสั้นมากจนต้องสวมแว่น เชื่อได้เลยว่า มันคงจะ ทำให้คุณรำคาญพอดู บุคลิกก็ดูยังกะคนแก่เรียน ยิ่งพอจะไปเล่นกีฬาอะไรๆ เพื่อลดเชพก็รู้สึกว่า เจ้าแว่นตัวดี มันเกะกะเหลือเกิน โลกนี้ไม่สดใสเสียเลย หลายคน พอหันลองไปใช้ คอนแทคเลนส์แทน ก็รู้สึกจั๊กจี้ตาพิลึก ต้องมานั่งล้างก่อนนอนทุกคืน เผลอๆ ตาอันบอบบางก็ต้องมาเสี่ยงต่อการติดเชื้ออีกด้วย  ไม่นานมานี้ เราได้พบบทความหนึ่ง ในนิตยสาร ด้านสุขภาพของอเมริกา เกี่ยวกับวิธี ที่จะช่วยบำบัด อาการสายตาสั้น ของคุณให้ดีขึ้น ซึ่งหากคุณ ได้ลองนำไปปฏิบัติประมาณ 2-3 อาทิตย์ทุกวัน คุณจะรู้สึกว่าสายตาของคุณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บางคน ต้องไปค้นแว่นเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้ตั้งนานกลับมาใช้อีก  วิธีง่ายๆที่จะช่วยบำบัดอาการสาย ตาสั้น   สิ่งที่ต้องทำเป็นนิสัย  สวมแว่นสายตาเมื่อจำเป็นเท่านั้น พยายามอย่าสวมแว่นเท่าที่จะทำได้ เพราะมันจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อตา และระบบประสาทรอบดวงตาของคุณ รู้สึกผ่อนคลาย   วิธีอ่านหนังสืออย่างถูกต้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องอ่านหนังสือ ต้องถอดแว่นออกทุกครั้ง แล้วพยายามอ่านหนังสือโดยที่ พยายามให้ตาทั้งสองข้างอยู่ห่างจากหนังสือมากที่สุด แต่ต้องเป็นระยะที่สามารถอ่านตัวหนังสือได้อย่างชัดเจน หากทำจนเป็นนิสัยแล้ว คุณจะรู้สึกว่า คุณจะค่อยๆ สามารถอ่านหนังสือได้ห่างมากขึ้นไปเรื่อยๆ […]

คิดให้ดี ! ดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋อง “ต้องวิ่งถึง 7 กม.” ถึงเผาผลาญพลังงานของน้ำอัดลมหมด

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันจอห์น ฮอบกินส์ บรูมเบิร์ก ในรัฐบัลติมอร์ เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับปริมาณแคลอรี่ในอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมทั้งตารางการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญสิ่งที่เรากินเข้าไป  โดยยกตัวอย่างคือ น้ำอัดลมกระป๋องขนาด 500 มิลลิลิตร มีปริมาณ 210 แคลอรี นั่นมากกว่าแคลอรี่ที่ผู้หญิงต้องการในแต่ละวันถึง 10 เท่า ทำให้นักวิทยาศาสตร์ให้คำแนะนำว่าหากสาวๆท่านใดอยากเผาผลาญพลังงานของน้ำอัดลม 1 กระป๋องออกจากร่างกายต้องวิ่งอย่างน้อยประมาณ 6.8 กิโลเมตร หรือใช้เวลาราว 42 นาทีในการเดิน  วิธีที่กล่าวมาข้างต้นนี้สามารถใช้ได้กับอาหารประเภทอื่นๆได้ เช่น หากกินแฮมเบอร์เกอร์ดับเบิลชีส 1 ชิ้น ต้องใช้การวิ่งถึง 9 กิโลเมตรกว่าจะเผาผลาญออกมาให้หมด แต่ถ้าเลือกกินแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นเล็กจะต้องวิ่งแค่ 4.2 กิโลเมตรเท่านั้น ที่มา : news.com.au และ http://news.voicetv.co.th/   [ads=center]

บอกลาสิวเสี้ยนด้วย “เคล็ดลับ 3 นาที” ตามแบบฉบับเกาหลี !

สาเหตุ : สิ่งสกปรกอุดตันจมูกเวลาเมคอัพ วิธีรักษา : 1. บริเวณที่มีสิวเสี้ยนเยอะๆ ให้สครับด้วยเม็ดบีท   2. เปลี่ยนไอเท็มที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้มีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณที่พอเหมาะเช่น ครีมบำรุง โลชั่น หรือ รองพื้น เป็นต้น   ขั้นตอนการล้างหน้าให้ผิวสะอาด ขจัดสิวเสี้ยน ตามแบบฉบับเกาหลี 1. ประคบร้อนผิวหน้า    ใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ ประคบเบาๆ ตามจุดต่างๆ บนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณจมูกที่มีสิวเสี้ยนอุดตันอยู่       2. ล้างหน้าด้วยคลีนซิ่งออยล์   ใช้คลีนซิ่งออยล์นวดเบาๆ เป็นวงกลมตามทิศทางเข็มนาฬิกา และสครับบริเวณที่มีสิวเสี้ยนเยอะเพื่อให้สิ่งอุดตันหลุดออก       3. หลังล้างหน้าเสร็จ ใช้คอตตอนบัด จุ่มรีมูฟเวอร์ แล้วถูเบาๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน เช่น ข้างจมูกที่มักมีสิ้วเสี้ยนฝังแน่นอยู่       4. ผ่อนคลายจมูกด้วยการแปะแผ่นลอกสิวเสี้ยนให้ทาเอสเซนส์บนจมูก (เอสเซนส์ควรแช่ไว้ในตู้เย็น ก่อนจะนำมาทา) จากนั้นแปะจมูกด้วยแผ่นลอกสิวเสี้ยน […]

วิธีจัดการ เล็บขบ..!! เจ้าปัญหาแบบง่ายๆ

เชื่อว่าหลายคนที่เคยเป็นเล็บขบ แน่นอนมันทรมาณอย่าบอกใครเลยล่ะ สำหรับวันนี้ก็มีวิธีแก้เล็บขบง่ายๆและการป้องกันมาฝากค่ะ วิธีแก้ วิธีที่1. 1. แช่เท้าในน้ำอุ่น หรือน้ำเกลืออุ่น ๆ สัก 10 นาที เพื่อบรรเทาอาการปวด 2. ตัดเล็บส่วนเกินที่ไม่เจ็บออก เพื่อไม่ให้มีเศษผง หรืออะไรสกปรกค้างอยู่ เพราะเศษสกปรกนี้จะทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อรุนแรงขึ้น  3. ใช้แอลกอฮอล์ 70% เช็ดเล็บให้สะอาด 4. หาวัสดุอะไรสักอย่างที่เล็ก ๆ บาง ๆ แข็ง ๆ พอสมควร เช่น เส้นด้าย ไม้จิ้มฟันก้านบาง ๆ หรือไหมขัดฟัน สอดเข้าไปใต้เล็บ งัดเอาเล็บขึ้นมา ตรงนี้อาจจะรู้สึกปวดบ้าง ให้ทำอย่างเบามือที่สุด 5. เอาสำลีสอดลงไปบริเวณที่เล็บมันจิกขบอยู่ จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ แล้วกินยาปฏิชีวนะ ประเภทเตตร้าซัยคลิน หรือแอมพิซิลลิน และก็กินยาแก้ปวดพวกพาราเซตามอล จะบรรเทาอาการเจ็บปวดและการอักเสบจากการติดเชื้อลงได้มาก   *คนไข้ที่ใช้วิธีนี้รักษาเล็บขบยังสามารถอาบน้ำล้างเท้าได้ตามปกติ และควรจะถูสบู่ที่ซอกเท้า ซอกเล็บ วันละ 2 ครั้ง เพื่อกำจัดเชื้อโรคออกไปด้วยหลังอาบน้ำเสร็จควรใช้แอลกอฮอล์ […]

กินปลาดิบอย่างไร ให้ปลอดภัยจากพยาธิ

กินปลาดิบอย่างไร ให้ปลอดภัยจากพยาธิ   ปลาดิบ เมนูสุดโปรดของคนที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่น แต่หากไม่ระมัดระวังอาจได้ของแถมเป็นไข่พยาธิกลับมา งั้นมาดูวิธีรับประทานปลาดิบที่ถูกต้องให้ห่างไกลเจ้าพยาธิกันเถอะ           เชื่อว่าคอปลาดิบหลายคนคงช็อกไม่น้อย เมื่อได้เห็นข่าวล่าสุดที่มีชายชาวจีนที่โปรดปรานการรับประทานปลาดิบเป็นชีวิตจิตใจตรวจพบพยาธิทั่วร่างกาย ซึ่งนั่นก็เกิดจากการรับประทานปลาดิบที่ไม่สะอาดและถูกสุขอนามัยนั่นเอง แล้วเราจะทำอย่างไรให้เราปลอดภัยจากพยาธิในปลาดิบได้บ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำความรู้เกี่ยวกับการรับประทานปลาดิบแนะนำกันค่ะ คอปลาดิบทั้งหลายที่กำลังกังวลเรื่องนี้อยู่ รีบอ่านด่วนเลย           ก่อนที่เราจะไปเรียนรู้วิธีการรับประทานปลาดิบให้ปลอดภัยจากพยาธิ เรามาทำความรู้จักกับเจ้าสิ่งมีชีวิตที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้เรากันดีกว่า นั่นก็คือ พยาธิอะนิซาคิส (Anisakis simplex) ซึ่งเป็นเจ้าพยาธิที่มักจะพบในปลาดิบที่ไม่ถูกสุขลักษณะ โดยเจ้าพยาธิชนิดนี้มักจะพบได้ในปลาทะเลที่วางขายในประเทศ ซึ่งเรามักจะตรวจพบตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ในปลาหลายชนิด เช่น ปลาดาบเงิน ปลาตาหวาน ปลาสีกุน ปลาทูแขก ปลากุเลากล้วย ปลาลัง และปลาทะเลที่มาจากต่างประเทศอย่างเช่น ปลาจำพวก ปลาคอด ปลาเฮอริ่ง โดยเฉพาะปลาแซลมอน ที่คอปลาดิบชื่นชอบกันนี่ละค่ะ           ลักษณะของมันเป็นพยาธิชนิดตัวกลม สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่อโตเต็มวัยจะมีความยาวถึงประมาณ 2-5 ซม. แต่ที่จริงแล้วเจ้าพยาธิชนิดนี้มักจะอยู่ในตัวของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเลซะมากกว่า โดยไข่ของมันจะปนออกมากับอุจจาระ และเจริญเป็นตัวอ่อนอยู่ในทะเล และเมื่อพยาธิเข้าสู่ตัวปลาก็จะไปฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อของปลาเหล่านั้น ทำให้ตัดคนที่รับประทานปลาดิบได้รับพยาธิเหล่านั้นเข้าไปเต็ม ๆ แต่ก็อาจจะถูกขับออกมาจากกระเพาะอาหารโดยการอาเจียน แต่ถ้าหากพยาธิไม่ถูกขับออกไป พยาธิก็จะชอนไชไปตามทางเดินอาหาร แล้วอยู่ในลำไส้ หรือจะอาศัยอยู่นอกลำไส้ เหมือนที่เราเห็นในข่าวก็ได้ และถ้าหากใครที่แพ้พยาธิชนิดนี้ก็ทำให้เกิดลมพิษได้ด้วยล่ะ อี๋ … น่ากลัวชะมัดเลยว่าไหม […]

เลิกนิสัยเหล่านี้…ไม่มีอ้วน

เลิกนิสัยเหล่านี้…ไม่มีอ้วน   บางทีความอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ก็เกิดมาจากลักษณะในการกินที่ทำซ้ำๆ จนติดเป็นนิสัย แต่หลายคนไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าแก้นิสัยเหล่านั้นได้ โอกาสที่ความอ้วนจะลดลงก็มีสูง และต่อไปนี้คือนิสัยการกินที่ควรปรับเปลี่ยน ถ้าอยากมีรูปร่างและสุขภาพที่ดีขึ้น 1. กินข้าวเร็ว จนแทบไม่เสียเวลาเคี้ยวหรือเคี้ยวไม่ละเอียด ทำให้ไม่รู้สึกอิ่ม เสี่ยงที่จะทานมากกว่าปริมาณที่ต้องการ เพราะกระเพาะยังไม่ทันรับรู้ถึงความอิ่ม จึงคิดว่ายังรับอาหารได้อีก ดังนั้นการทานแบบค่อยๆกินจะทำให้อิ่มเร็วขึ้น และได้ปริมาณอาหารที่เหมาะสมกับความหิว แถมยังรับรู้รสชาติอาหารได้ดีกว่าด้วย 2. เสียดายของ นิสัยนี้เกิดจากคำสั่งสอนว่าจะต้องกินข้าวให้หมดจาน อย่าเหลือทิ้งไว้ สงสารชาวนาที่ปลูกข้าว กว่าจะได้ข้าวเม็ดหนึ่งมาให้เรากิน แม้จะอิ่มแล้วหลายคนก็ต้องกัดฟันกินให้หมด คำสอนนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ควรทำควบคู่กันไป คือการกะปริมาณอาหารให้เหมาะสม เมื่อเป็นคนขี้เสียดาย ก็ต้องรู้จักประเมินความอยากของตัวเอง 3. กินแก้เครียด นิสัยนี้เป็นกันมาก บางคนทำไปโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ว่าการระบายความเครียดด้วยการกินนั้นอาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเป็นโรคจิต เสพติดการแก้เครียดด้วยการกิน ดังนั้นเมื่อเกิดความเครียดให้ลองหากิจกรรมอื่นๆ ทำ เช่น ออกไปเดินในสวน ออกกำลังกาย พูดคุยกับคนรอบข้าง หรือถ้าหากอยากทานมากจริงๆ ให้เลือกทานผัก ผลไม้ แทนอาหารที่มีพลังงานสูง 4. ให้รางวัลด้วยการกิน ถือเป็นพฤติกรรมปกติในสังคมปัจจุบัน ที่เวลาดีใจหรือทำอะไรประสบความสำเร็จต้องมีการนัดฉลองกัน เช่น กินฉลองสอบได้ กินฉลองได้ลูกค้าใหม่ กินฉลองวันเกิด หรือแม้แต่กินฉลองความโสด ฯลฯ ลองเปลี่ยนวิธีการให้รางวัลเป็นของขวัญ ไปเที่ยว หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมาโยงกับการกิน เพราะการฉลองแต่ละครั้งจะเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมาย และทุกคนมักจะคิดว่านานๆ […]

ประโยชน์และโทษของกาแฟ !

ประโยชน์และโทษของกาแฟ ! กาแฟมีคาเฟอิน ซึ่งสามารถกระตุ้นประสาทส่วนกลางและกล้ามเนื้อ ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกสมองสดชื่น ตื่นเต้น และช่วยแก้ความอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น กาแฟเป็นผลดีต่อผิวพรรณ เพราะว่ากาแฟสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้คล่อง ช่วยให้อวัยวะย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และเวลาอาบน้ำ ผสมผงกาแฟลงไปด้วย จะมีบทบาทช่วยลดไขมัน กาแฟช่วยแก้เมา เพราะคาเฟอินจะไปเสริมสมรรถนะของตับและไต หลังดื่มเหล้าแล้ว จะช่วยละลายแอลกอฮอร์ให้เป็นน้ำและไคบอนไดออกไซต์ ขับออกจากร่างกาย ดื่มกาแฟวันละ 3 ถ้วย จะป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีได้ เพราะว่าคาเฟอินสามารถกระตุ้นให้ถุงน้ำดีหดตัว ลดคอเลสเตอรอลในถุงน้ำดี ซึ่งเป็นสารที่จะทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด สหรัฐฯ ปรากฎว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟ2-3 ถ้วยต่อวัน จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดีต่ำกว่าผู้ไม่ดื่มกาแฟ 40% กาแฟมีผลป้องกันหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร ขจัดไขมัน ขจัดความชื้นออกจากร่างกาย กาแฟสามารถขจัดกลิ่นปาก เมื่อรับประทานกระเทียมหรืออาหารที่มีกลิ่นแรง สามารถดื่มกาแฟสักถ้วยหนึ่งเพื่อช่วยขจัดกลิ่นปาก กาแฟช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งตับ เมื่อรับประทานอาหารประเภทเนื้อมากแล้ว ดื่มกาแฟจะทำให้กระเพาะอาหารมีน้ำย่อยออกมามากขึ้น ช่วยละลายไขมัน แต่สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร ไม่ดื่มกาแฟดีกว่า กาแฟดำมีผลช่วยลดความอ้วนได้ หลังอาหารเที่ยงครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง และก่อนเลิกงานดื่มกาแฟดำข้นที่ไม่ใส่น้ำตาล และเดินเล่นอีกสักพัก จะได้ช่วยเผาผลาญไขมัน จนลดความอ้วน […]

5 เทคนิค!!! กินเจแล้วไม่ “อ้วน”

5 เทคนิค!!! กินเจแล้วไม่ “อ้วน” เทศกาลกินเจแบบนี้ หลายคนคงคิดว่าต้องน้ำหนักเพิ่มขึ้นแบบปีที่ผ่านๆ มาแน่เลยยย!!!!! เพราะมีแต่แป้งเต็มไปหมด แต่วันนี้เรามีเทคนิคมาเล่าให้ทุกคนฟัง กินเจปีนี้จะได้ห่างไกลความอ้วนกันนะจ๊ะ เลือกกินข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท นมถั่วเหลืองที่ผสมธัญพืช อย่างยี่ห้อต่างๆ ที่เราคุ้นเคย ก็จะออกสูตรเจออกมา แต่เราก็ต้องดูให้มีส่วนผสมที่มีประโยชน์สูงสุดในหนึ่งกล่อง เช่นที่เรากินประจำคือ ไวตามิลล์ ดับเบิ้ลแบล็ค สูตรเจ มีส่วนผสมงาดำ กับข้าวสีนิล  กล่องสีดำๆ ครบคุณค่า คุ้มจริงๆ (ขอแนะนำ 555) เลือกผักใบมากกว่าพืชหัว เพราะผักใบมีคาร์โบไฮเดรตที่น้อยกว่าพืชหัวมาก ดังนั้น การกินผักใบจะทำให้เราได้พลังงาน และปริมาณแป้งน้อยกว่าจึงไม่ทำให้อ้วน เลือกกินของนึ่ง ต้ม ตุ๋น ดีกว่าของทอดและผัด เพราะช่วยให้เลี่ยงการกินน้ำมัน ซึ่งมีไขมันอยู่สูง กินหวานให้น้อยลง ไม่ใช่ว่าเมื่อคุณกินเจแล้ว จะสามารถกินขนมหวานได้เต็มที่ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารเจหรือไม่เจ ถ้ามีความหวานและผสมน้ำตาลอยู่มากก็อ้วนได้ไม่ต่างกัน อดอาหาร ล้างพิษหลังกินเจ เพราะจะช่วยให้ร่างกายขับพิษต่าง ๆ ออกมาได้ ทั้งช่วยลดไขมันในเลือด ลดน้ำหนัก ลดภาวะร้อนในจากธาตุในร่างกายที่ไม่สมดุลได้อีกด้วย เนื้อหาโดย: อิส์  

หลัก 7 ประการที่จะทำให้ ธุรกิจคุณเจ๊งแน่นอน !!

หลัก 7 ประการที่จะทำให้ ธุรกิจคุณเจ๊งแน่นอน !!   จากสถิติทั้งไทยและต่างประเทศกว่า 90% ของกิจการที่เปิดใหม่ต้องปิดตัวลงไปภายในระยะเวลาไม่นาน แต่ก็คงมีไม่มากคนนักที่จะกล้าออกมาบอกคุณว่าทำอย่างไรเค้าถึงไม่ประสบความสำเร็จ หรือไม่ คุณก็ไม่อยากจะรู้เรื่องของคนที่ล้มเหลว แต่ถ้าลองสังเกตุและวิเคราะห์ให้ดีๆแล้ว หากเรารู้ว่าเค้าทำอย่างไร เค้าถึงล้มอย่างไม่เป็นท่า มันน่าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองก็ทำธุรกิจเจ๊งมาแล้วหลายครั้งทั้งที่ลงทุนเอง และ ที่ทำในฐานะลูกจ้าง ตั้งแต่การลงทุนในหลัก แสนบาท ไปจนถึง หลักหลายสิบล้านบาทหลัก 7 ข้อนี้มาจากประสบการณ์ตรงของผมและคนใกล้ชิดรอบๆตัว ที่เคยผิดพลาดมาก่อนในการทำธุรกิจ ลองอ่านและคิดตามไปด้วยกันนะครับ1. วางแผนมากเกินไป ทฤษฎีเต็มไปหมดเป็นเจ้าทฤษฎี เจ้าแผนการ รู้เยอะมากเรียนมาเยอะ ชอบวางแผน คิดวิเคราะห์หลายตลบ คิดแล้วคิดอีก ทำแต่แผนงานกับกลยุทธ์ เป็นเสือกระดาษ แต่ไม่เคยปฏิบัติเองจริงๆ ลงมือทำจริงๆ หรือ ไม่เข้าใจว่าธุรกิจจริงๆมันไม่ใช่แค่แผนงาน หรือ แผ่นกระดาษกลยุทธ์ หลายธุรกิจพอประสบปัญหาแทนที่จะลงไปแก้ปัญหาจริงๆ กลับมานั่งทำแผน ทำกลยุทธ์ จ้างบริษัทที่ปรึกษามาคิดนู่นี่นั่นให้ การวางแผนนั้นจำเป็นต่อการทำธุรกิจ แต่ทำแค่พอเหมาะก็พอ เน้นปฏิบัติดีกว่าครับ2. สินค้าและบริการคุณภาพไม่ดีจริงผู้ประกอบการสมัยนี้หลายคนชอบมักง่ายคิดแต่เรื่องของผลกำไร จนลืมไปว่าการทำธุรกิจจริงๆ คือการส่งมอบสิ่งดีๆให้กับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการ แต่หลังๆมักจะเข้าใจในเรื่องของการตลาดผิดๆ ชอบสร้างภาพ […]

1 659 660 661 702
error: