หมอถึงกับชม 2 พส.ตอบคำถามชาวเน็ต ป่วยซึมเศร้า 7 ปี พระ-ชี ก็ยังไม่พ้น

Advertisement นับเป็นประเด็นร้อนแรงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เมื่อเกิดปรากฏการณ์ชาวเน็ตแห่ดูไลฟ์ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ และพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต แห่งวัดสร้อยทอง นับแสน ด้วยลีลาการเทศน์ที่ไม่เหมือนกรอบประเพณีดั้งเดิม ทำให้ชาวพุทธไม่สบายใจและชี้ว่าไม่เหมาะสม Advertisement โดยในการเข้าชี้แจง กมธ.ศาสนา พระมหาไพรวัลย์ และพระมหาสมปอง ได้น้อมรับความเป็นห่วง และจะปรับการไลฟ์ให้สำรวมมากขึ้น พร้อมชี้แจงว่า การแสดงธรรมให้วัยรุ่นฟังนั้น ต้องเข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่น และปรับให้เป็นตามยุคสมัย แต่แก่นของธรรมะนั้นยังคงเดิมเพราะบรรยายธรรมมานับ 20 ปีแล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่าจะไลฟ์ต่อไป ล่าสุด ในการไลฟ์คืนวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่ามีชาวเน็ตเข้าชมไลฟ์นับแสนเช่นเดิม โดยพบว่า ตอนหนึ่งของการสนทนากับชาวเน็ต มีคนเข้ามาคอมเมนต์ว่า “หนูเป็นซึมเศร้ามา 7 ปีแล้วค่ะ” โดยพระมหาไพรวัลย์ ได้ตอบชาวเน็ตว่า “เราต้องยอมรับตัวเองให้ได้ว่าเราป่วย แล้วไปปรึกษาหมอ ไปหาจิตแพทย์ เข้าสู่กระบวนการรักษาให้ถูกทาง ต้องไปหาหมอนะ อย่าคิดว่าป่วยแล้วมาปฏิบัติธรรมจะหายนะ วัดเรามีแม่ชีกระโดดน้ำตาย มีพระผูกคอตายเพราะเป็นซึมเศร้า อย่าปล่อยไว้นะไปหาหมอนะ” Advertisement พร้อมทั้งยังย้ำว่า อย่าคิดว่าการไปพบแพทย์เป็นเรื่องผิดปกติ ขอให้ไปพบจิตแพทย์ แล้วเอาธรรมะชุบชู ปัญหาอย่างหนึ่งคือ ไม่ไปปรึกษาคนอื่น […]

ข้อคิดเตือนใจ…ชีวิตจะมีความสุขได้ ถ้าไม่พยายามเอาชนะคนโง่4ประเภทนี้!

  ปล่อยคนโง่ ให้เป็นไปตามกรรม ก่อนอื่น มาดูกันว่ายังไงบ้างที่เรียกได้ว่า “โง่”     1. ชอบโยนความผิด ถ้าคนธรรมดาทำผิด ก็จะรับและใช้เป็นบทเรียน พร้อมปรับปรุง แก้ไข ในวันต่อไป ไม่ให้ผิดอีก แต่ถ้าผิด แล้วโยนความผิดให้คนอื่น เรียกว่า ‘โง่’ แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าตัวเองผิด แค่นี้ก็ไม่กล้าปรับปรุง ก็เลยโง่อยู่อย่างนั้น โง่ซ้ำๆ ซากๆ ถ้าเจอคนแบบนี้ อย่ารู้จัก จะดีกว่าเนอะ ปล่อยเขาไป ตามเวรตามกรรมเถอะ 2. ถูกเสมอ อันนี้สืบมากจากข้างบน คือ ยังคิดว่าตัวเองถูกตลอด สังเกตได้ว่าเวลามีข้อขัดแย้ง จะเถียงเอาเป็นเอาตายไม่มีฟังชาวบ้าน ใช้ตรรกะวิบัติ เหตุผลวิบัติไปเรื่อยๆ แถข้างๆ คูๆ เพื่อเอาชนะเราก็เท่านั้น เจอคนแบบนี้ เงียบดีกว่าค่ะ จำไว้ว่า “เสือ ไม่มีวันลดตัวไปกัดกับ หมา” ฉันใด ก็ฉันนั้น เจ้าค่ะ 3. ก้าวร้าว เพื่อกลบเกลื่อน มีการวิจัยมาว่า […]

คติธรรมคนทำงาน…สมดุลงาน สมดุลชีวิต อย่ามัวแต่หาเงินเพื่อไปใช้ในห้องICU ข้อคิดจากท่านว.วชิรเมธี(มีคลิป)

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือรู้จักกันดีในนามปากกา ว.วชิรเมธี เผยข้อคิด ชีวิตที่ดี ไม่ใช่การทำงานสำเร็จไปซะทุกอย่าง แล้วอุทิศตนให้กับงาน จนลืมไปว่า เรายังมีครอบครัว เรายังมีพ่อ มีแม่ คนทำงานที่สำเร็จจนเสพติดความสำเร็จ แล้วไม่ดูอะไรทั้งสิ้น คิดถึงแต่เรื่องงาน แล้วไม่สนอะไรเลย ผลก็คือ วันหนึ่งพอตัวเองป่วย ขนาดป่วยก็ยังไม่มีเวลาไปหาหมอ จนต้องเชิญหมอให้มาตรวจที่บ้าน เพราะไม่มีเวลาจริงๆ สุดท้ายคนเหล่านี้ จะมีเวลาเป็นของตัวเองอย่างแท้จริง บนห้องไอซียูเท่านั้น พร้อมทั้งยกตัวอย่าง คนสมัยก่อนทำงานเพื่อหาเงินเก็บไว้ใช้ยามแก่เฒ่า แต่คนในยุคทุนนิยมบริโภค ทำมาหากินเพื่อเก็บเงินเอาไว้ เพื่อใช้รักษาตัว ยามตัวเองอยู่ในห้องไอซียู ฉะนั้น ถ้าเราอยากจะใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ต้องระวัง อย่าป่วยด้วยโรคเสพติดการทำงาน จงหลงลืมการดูแลร่างกาย     ขอขอบคุณที่มา : ฟังธรรมะ ว.วชิรเมธี / พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี

น่าคิด! บางคนปฏิบัติธรรม เข้าวัดเป็นประจำ แต่เหตุใดยังชอบเอาเปรียบ-ว่าร้ายคนอื่น?

  สกู๊ปโดย : goodlifeupdate.com Dhamma Daily : ทำไมปฏิบัติธรรม แล้วยังเอารัดเอาเปรียบและพูดจาว่าร้ายคนอื่น ถาม : ผู้ปฏิบัติธรรม บางคนชอบเล่าบ่อยครั้งว่าตนนั่งสมาธิ ฟังธรรมเป็นประจำ แต่เพื่อนในกลุ่มรู้สึกตรงกันว่า เขามักเอาเปรียบและพูดจาว่าร้ายผู้อื่นเสมอ ยุยง ส่งเสริมให้เพื่อนในกลุ่มแตกแยกกัน อยากสอบถามว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นคะ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือคนที่ปฏิบัติฝักใฝ่ในธรรมโดยแท้จริง  ตอบ : การปฏิบัติธรรม นั้นเป็นหนทางการขัดเกลาจิตใจให้ลดความเห็นแก่ตัว ถอนความถือตัวและละความอหังการ (ยึดมั่นว่าตัวเรา) นี่คือสาระหลัก แต่คนที่อ้างตนว่าเป็นผู้ ปฏิบัติธรรม แต่มีพฤติธรรมตรงกันข้ามนั้น น่าจะยังมิใช่ผู้ปฏิบัติธรรมตามสมอ้าง ดังนั้นนักปฏิบัติธรรมที่แท้จริงต้องเป็นไปเพื่อการชำระความเย่อหยิ่งความถือตัว ความเห็นแก่ตัว อาจเรียกว่าเป็นผู้กำลังหันหลังให้กับอัตตาก็ว่าได้ และต้องปฏิบัติตนเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นสม่ำเสมอ หลักการของผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาที่แท้จริงควรมีลักษณะที่โดดเด่นและแจ่มชัด กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องไม่ทำความชั่วโดยประการทั้งปวง หมั่นบำเพ็ญแต่ความดี บริหารจิตของตนให้ผ่องใสเนือง ๆ ไม่กล่าวโทษหรือทำร้ายผู้อื่น มีความสำรวมในข้อปฏิบัติอันชอบด้วยธรรมเสมอ มักจะเป็นผู้รู้จักประมาณในการใช้ชีวิต เลือกเฟ้นสังคมหรือชุมชนที่เหมาะสม และขยันฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเวลา นี่คือหลักการสำคัญของนักปฏิบัติในพระพุทธ-ศาสนา และเป็นหลักสากลที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสั่งสอนไว้ ถ้าถือปฏิบัติผิดแผกแตกต่างไปจากหลักการเช่นนี้ก็แสดงว่า ผู้นั้นยังไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ฉะนั้น จากคำถามนี้อาจพิจารณาได้ด้วย 2 เหตุผล กล่าวคือ 1. ผู้นั้นอาจไม่ได้ปฏิบัติธรรมตามกระบวนการโดยแท้จริง เพียงแต่สละตนเข้าปฏิบัติธรรม เพื่อให้ตัวเองได้ถูกเรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติจริงและไม่สามารถเข้าถึงหลักการที่แท้จริงได้ เพราะรับเอาแต่เฉพาะรูปแบบการปฏิบัติตามคนอื่น แต่ตนเองไม่เข้าใจว่าตนได้ปฏิบัติธรรมจริงหรือเปล่า หรือกำลังได้อะไรจากการเข้าปฏิบัติธรรมนั้น นี่เรียกว่าหลอกทั้งตนเองและผู้อื่นด้วยประเภทนี้จะเสียประโยชน์ตนและเสียเวลาเปล่า 2. ผู้นั้นอาจเป็นผู้สละตนเข้าปฏิบัติธรรมจริง แต่ว่ามีอุปนิสัยดั้งเดิม เช่น ความโลภ แล้งน้ำใจ หรือมีนิสัยปากเปราะชอบว่าร้ายผู้อื่น ยังคงทำหน้าที่อยู่ก็เป็นไปได้เพราะอุปนิสัยนั้น บางทีไม่อาจสลัดออกไปได้โดยสิ้นเชิงทีเดียว เพราะมันเป็นกิเลสที่นอนเนื่อง เป็นสันดานติดตัวมาจากหลายภพชาติที่ผ่านมา เคยสั่งสมพฤติกรรมเก่าในอดีตชาติ ดังนั้น ผู้อ้างตนว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมท่านนี้แม้เข้าปฏิบัติธรรมก็จริง แต่ยังไม่สามารถละอุปนิสัยเดิมก็เป็นได้ แต่คำถามที่น่าสนใจคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใดคือผู้ปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ควรมีหลักการสังเกตไว้ดังนี้ จิตใจต้องอ่อนโยน ละเอียด ละเมียดละไม เป็นผู้สงบ ผู้อยู่ใกล้ชิดจะสามารถสัมผัสความเยือกเย็นของเขาได้โดยการแสดงออกผ่านการกระทำ ผู้ปฏิบัติธรรมมักมีจิตเอื้อเฟื้อ เสียสละ เห็นใจคนอื่นง่าย ประกอบกับมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง ผู้ปฏิบัติธรรมมักมีปฏิภาณไหวพริบ เฉลียวฉลาดมีความรู้เรื่องศีลธรรม และตระหนักในคุณค่าของความดีเสมอ

เสียสละเวลาอ่านสักนาที…ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ เมื่อไม่ยุ่งเรื่องคนอื่น

ภาวนามาก ๆ ดูตัวเองมาก ๆ หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) บอกว่า “ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %” คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น กลับเสียใหม่นะ ดูคนอื่นเหลือไว้ 10 % ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90 % จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่ ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง โบราณพูดว่า เรามักจะเห็น ความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มาก ๆ เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10 เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10 จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมาก ๆ และตำหนิติเตียนตัวเองมาก ๆ แต่ถึงอย่างไร ๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น ดูตัวเอง […]

สละเวลาอ่านสัก3นาทีชีวิตเปลี่ยน…’อย่าอวดเงิน อย่าอวดงาน อย่าอวดรถ’

  หากชีวิตเรา ถือเงินทองเป็นจุดมุ่งหมายเป็นศูนย์กลาง ชีวิตนั้นมีแต่ความยากลำบาก หากชีวิตเรา ถือบุตรธิดาเป็นจุดมุ่งหมายเป็นศูนย์กลาง ชีวิตนั้นมีแต่ความเหนื่อยล้า หากชีวิตเรา ถือความรักเป็นจุดมุ่งหมายเป็นศูนย์กลาง ชีวิตนั้นมีแต่ความเจ็บปวด หากชีวิตเรา ถือการแข่งขันเปรียบเทียบเป็นจุดมุ่งหมายเป็นศูนย์กลาง ชีวิตนั้นมีแต่ความตกต่ำ หากชีวิตเรา ถือความเอื้อเฟื้อใจกว้างเป็นจุดมุ่งหมายเป็นศูนย์กลาง ชีวิตนั้นมีแต่ความโชคดีมีสุข หากชีวิตเรา ถือความพอเพียงเป็นจุดมุ่งหมายเป็นศูนย์กลาง ชีวิตนั้นมีแต่ความสุข หากชีวิตเรา ถือบุญคุณเป็นจุดมุ่งหมายเป็นศูนย์กลาง ชีวิตนั้นมีแต่ใจเมตตา คุณธรรม สุภาพบุรุษ 6 ประการ 1. การเป็นคน : เหนือเราให้นบน้อม ใต้เราอย่าดูหมิ่น นั้นคือ ธรรมเนียมปฏิบัติ 2. การงาน : เรื่องใหญ่ให้จริงจัง เรื่องเล็กที่ไม่สำคัญอย่าใส่ใจ ถือเป็นปัญญา 3. เกี่ยวเนื่องผลประโยชน์ : สามารถได้ 6 ส่วน แต่เอาเพียง 4 ส่วน ถือเป็นคุณธรรม 4. ความเที่ยงตรง : รักษาตัวดั่งเช่นดอกบัว หอมใสสะอาดขจรไกล ถือเป็นความเที่ยงธรรม 5. การปฏิบัติกับคน : นอกในเป็นหนึ่งเดียว สัตย์ซื่อต่อผู้คน ถือเป็นความน่าเชื่อถือ 6. การบำเพ็ญ : รวมศูนย์จิตสมาธิ เคารพฟ้ารักผู้คน ถือเป็นเมตตาธรรม เวลาไม่มีเงิน ขอให้ขยันทำงาน เงินก็มา อันนี้เรียกว่า สวรรค์ประทานรางวัลให้ความขยัน เวลามีเงิน เอาเงินออกไป คนก็มาเลย อันนี้เรียกว่าเงินไปคนมา หากมีคนแล้ว […]

error: